ท่ามกลางความขัดแย้งทางการเมือง การแก่งแย่งชิงอำนาจด้วยวิธีการที่รุนแรง ความขัดแย้งระหว่างเชื้อชาติ ศาสนา บนโลกใบนี้ทำให้คนหลักล้านต้องพลัดพรากไม่สามารถอยู่อาศัยในบ้านเกิดเมืองนอนของตัวเองได้ เมื่อพวกเขาต้องเดินทางหลบหนีออกจากบ้านของตัวเองเพื่อไปแสวงหาความปลอดภัย เขาก็จะต้องข้ามไปยังดินแดนของประเทศอื่น เราอาจเรียกพวกเขารวมๆ ด้วยคำกว้างๆ ว่า “ผู้ลี้ภัย”
สำหรับประเทศไทย ต้องมีภาระทางมนุษยธรรมในการดูแลผู้ลี้ภัยสงครามและความรุนแรงจากประเทศเพื่อนบ้านอยู่อย่างต่อเนื่อง ประเทศไทยยังเป็นเส้นทางการหลบหนีอันตรายของผู้ลี้ภัยเชื้อชาติโรฮิงญา หรืออุยกูร์ หรืออื่นๆ อีกมากที่ปรากฏภาพบนหน้าข่าวเป็นระยะและนำมาซึ่งข้อถกเถียงด้านมนุษยธรรมในการดูแลและจัดการกลุ่มคนเหล่านี้ ซึ่งประเทศไทยไม่มีกฎหมายที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการจัดการดูแลผู้ลี้ภัยที่เข้ามาในดินแดนของประเทศไทย รวมทั้งประเทศไทยยังไม่เข้าเป็นภาคีในอนุสัญญาผู้ลี้ภัย 1951 แต่มีกฎหมายคุ้มครองในบางแง่มุม
ทั้งนี้ ปัญหาความขัดแย้งเรื่องผู้ลี้ภัยไม่เคยหายไปจากประเทศไทย และจะไม่หายไป แต่เมื่อเราเป็นส่วนหนึ่งของสังคมโลก ข้อถกเถียงเรื่องผู้ลี้ภัยก็ยังคงอยู่ จึงจำเป็นที่ประเทศไทยต้องมีองค์ความรู้ ความเข้าใจ และมีกฎหมาย กฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง เพื่อการปฏิบัติที่มีมาตรฐานเดียวกันที่ได้รับการยอมรับในสายตาสังคมโลก

คำศัพท์พบบ่อยในกระบวนการลี้ภัย
Asylum seeker – ผู้แสวงหาที่ลี้ภัย
Asylum เป็นภาษาละตินมาจากคำว่า Asylon ในภาษากรีก คือ การให้ความคุ้มครองในสถานที่หนึ่งแก่บุคคลที่แสวงหาการคุ้มครองดังกล่าว ขณะที่ Asylum seeker ในความหมายโดยกว้างคือ ผู้ที่เดินทางหนีการประหัตประหารออกจากประเทศต้นกำเนิด ขณะที่สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ หรือ United Nations High Commissioner for Refugees (UNHCR) ให้คำนิยามผู้แสวงหาที่ลี้ภัย (Asylum seeker) ว่า คือบุคคลที่ยื่นคำร้องขอสถานะผู้ลี้ภัยแล้ว แต่ยังไม่ได้รับคำตัดสินว่าจะได้รับการยอมรับเป็นผู้ลี้ภัยหรือไม่ (An asylum-seeker is someone who has applied for refugee status but who has not yet received a decision as to whether he/she has been recognized as a refugee.)
ประวัติศาสตร์ของการให้ความคุ้มครองแก่บุคคลในสถานที่หนึ่งนั้นมีความยาวนานพอกับประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนาเป็นพื้นที่แรกๆ ที่ใช้แนวคิดดังกล่าว โดยเป็นการให้สถานที่ศักดิ์สิทธิ์เป็นที่ลี้ภัยเชิงอาณาเขต (Territorial asylum) คุ้มครองสมาชิกในสังคมจากการลงโทษที่โหดร้ายและการลงโทษในรูปแบบดั้งเดิม การลี้ภัยเชิงอาณาเขตยังปรากฏในยุคกรีกโบราณที่เทววิหารจำนวนมากเสนอพื้นที่คุ้มครองแก่ผู้คนหลากหลาย เช่น ทาสที่หลบหนีและชาวต่างชาติที่หลีกหนีจากการพิพากษาจากดินแดนอื่น
อย่างไรก็ตามเมื่อรัฐชาติเกิดขึ้นส่งผลให้ระบบการลี้ภัยเปลี่ยนแปลงไป สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้รับการยอมรับให้อยู่เหนือกฎหมาย อำนาจอธิปไตยของรัฐกลายเป็นผู้กำหนดว่าจะให้การลี้ภัยหรือไม่
แนวคิดว่าด้วยการลี้ภัยในกฎหมายระหว่างประเทศปรากฏในปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนปีค.ศ. 1948 (The 1948 Universal Declaration of Human Rights-UDHR) ข้อ 13 (2) บัญญัติว่า ทุกคนมีสิทธิที่จะออกจากประเทศใด ๆ ไป รวมทั้งประเทศของตนเองด้วย และที่จะกลับยังประเทศตน และ 14(1) บัญญัติว่า ทุกคนมีสิทธิที่จะแสวงหา และที่จะได้อาศัยพำนักในประเทศอื่นเพื่อลี้ภัยจากการประหัตประหารในปี 1967 สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติรับรองปฏิญญาว่าด้วยการลี้ภัยเชิงอาณาเขต (The Declaration on Territorial Asylum) หลักการสำคัญ คือ การให้การลี้ภัยของรัฐต่อบุคคลตามมาตรา 14(1) ของ UDHR จะต้องได้รับการเคารพจากรัฐอื่นทั้งหมดและวางหลักการเรื่องผู้ที่ได้รับที่ลี้ภัยแล้วจะไม่ถูกส่งกลับไปยังประเทศที่เขาอาจเผชิญการประหัตประหาร
จากสถิติของ UNHCR ระบุว่า จนถึงสิ้นปี 2024 ทั่วโลกมีผู้แสวงหาที่ลี้ภัย (Asylum seeker) จำนวน 8,355,000 คน
Refugee – ผู้ลี้ภัย
นิยามของผู้ลี้ภัย (Refugee) ปรากฏในอนุสัญญาว่าด้วยสถานภาพผู้ลี้ภัยปี 1951 (The 1951 Refugee Convention) ที่ถูกออกแบบเพื่อแก้ไขปัญหาผู้ลี้ภัยในยุโรปช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง มาตรา 1 A(2) ให้นิยามว่า “[บุคคลใด]…ด้วยความหวาดกลัวซึ่งมีมูลอันจะกล่าวอ้างได้ว่าจะได้รับการประหัตประหารด้วยสาเหตุทางเชื้อชาติ ศาสนา สัญชาติ สมาชิกภาพในกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งทางสังคม หรือความคิดเห็นทางการเมือง เป็นบุคคลที่อยู่นอกอาณาเขตรัฐแห่งสัญชาติตน และไม่สามารถหรือไม่สมัครใจที่จะได้รับความคุ้มครองจากรัฐแห่งสัญชาติตนเนื่องจากความหวาดกลัวดังกล่าว หรือนอกจากนี้เป็นบุคคลไร้สัญชาติซึ่งอยู่นอกอาณาเขตรัฐเดิมที่ตนมีถิ่นฐานพำนักประจำแต่ไม่สามารถ หรือไม่สมัครใจที่จะกลับไปเพื่อพำนักในรัฐดังกล่าว ด้วยเหตุแห่งความหวาดกลัว”
“Article 1 definition of the term “refugee”
…(2) As a result of events occurring before 1 January 1951 and owing to well-founded fear of being persecuted for reasons of race, religion, nationality, membership of a particular social group or political opinion, is outside the country of his nationality and is unable or, owing to such fear,is unwilling to avail himself of the protection of that country; or who, not having a nationality and being outside the country of his former habitual residence as a result of such events, is unable or, owing to such fear, is unwilling to return to it.“
เพื่อที่จะได้รับคำนิยามเข้าข่ายเป็น “ผู้ลี้ภัย” ตามอนุสัญญาดังกล่าว บุคคลจะต้องแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมโยงระหว่างการประหัตประหารและเหตุแห่งความหวาดกลัวตามมาตรา 1 A(2) บัญญัติไว้ได้แก่ เชื้อชาติ ศาสนา สัญชาติ สมาชิกภาพในกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งทางสังคมและความคิดเห็นทางการเมือง จะมีข้อใดข้อหนึ่งหรือหลายข้อรวมกันก็ได้ โดยบุคคลดังกล่าวจะต้องอยู่นอกประเทศต้นกำเนิด นอกจากนี้ความคุ้มครองตามอนุสัญญาว่าด้วยสถานภาพผู้ลี้ภัยปี 1951 ไม่รวมไปถึงภัยธรรมชาติหรือสงคราม
จากสถิติของสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) ระบุว่า จนถึงสิ้นปี 2024 ทั่วโลกมีผู้ลี้ภัยที่อยู่ภายใต้อาณัติของ UNHCR จำนวน 30,959,000 คนและมีผู้ลี้ภัยปาเลสไตน์ที่อยู่ภายใต้อาณัติของสำนักงานบรรเทาทุกข์และจัดหางานของสหประชาชาติสำหรับผู้ลี้ภัยปาเลสไตน์ในตะวันออกใกล้ (The United Nations Relief and Works Agency for Palestine Refugees in the Near East UNRWA) จำนวน 5,914,000 คน
แม้ว่าคนทั่วไปมักใช้คำว่า “ผู้แสวงหาที่ลี้ภัย” (Asylum Seeker) และ “ผู้ลี้ภัย” (Refugee) สลับกันบ้างหรือใช้แทนกัน แต่ในความเป็นจริงแล้วทั้งสองคำมีความแตกต่างกันในเรื่องของสถานะ ตามที่ยูฮานี เจ๊ะกา HOST International Thailand Foundation อธิบายไว้ว่า คำว่า “ผู้ลี้ภัย” มีความหมายทั้งแบบกว้างและแบบแคบ ในความหมายแบบกว้าง ผู้ลี้ภัยหมายถึงผู้ที่หลบหนีการประหัตประหารออกจากประเทศต้นกำเนิดด้วยเหตุผลทางเชื้อชาติ ศาสนา สัญชาติ การเป็นสมาชิกในกลุ่มทางสังคม หรือความคิดเห็นทางการเมือง โดยสถานะผู้ลี้ภัยจะเกิดขึ้นทันทีที่บุคคลนั้นหนีออกมาจากประเทศต้นกำเนิด ซึ่งในความหมายนี้ “ผู้ลี้ภัย” จึงเท่ากับ “ผู้แสวงหาที่ลี้ภัย” ด้วย
อย่างไรก็ตาม ในความหมายอย่างแคบ ผู้ลี้ภัยหมายถึงเฉพาะผู้ลี้ภัยที่ได้รับการรับรองสถานะแล้วจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น UNHCR ซึ่งมีคำเรียกอีกคำหนึ่งว่า “Recognized Refugee” ซึ่งแปลว่า ผู้ลี้ภัยที่ได้รับการรับรองแล้ว ส่วน “ผู้แสวงหาที่ลี้ภัย” คือผู้ที่เพิ่งหนีมาและยังอยู่ในขั้นตอนการขอรับรองสถานะ เมื่อใช้ความหมายแบบแคบนี้ ทั้งสองคำจึงไม่สามารถใช้แทนกันได้ เพราะมีความแตกต่างกันในสถานะ
อ่านข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นกับผู้ลี้ภัยไทยและต่างชาติ
๐ หลังลี้ภัย เป็นครั้งแรกที่ได้ใช้ชีวิตเหมือนคนปกติ : เมลิญณ์ สุพิชชา
๐ ในวันที่ความศรัทธาทรยศ ขอ “โต้กลับ” กระบวนการยุติธรรมไทยด้วยการลี้ภัย
๐ คุยกับณัฏฐิกา แอดมินเพจ “เรารักพลเอกประยุทธ์” ในวันที่เสรีภาพในการหัวเราะขาดตลาด
๐ เปิดเรื่องเล่าผู้ลี้ภัย ม.112 และผู้ถูกอุ้มหายในต่างแดน
๐ ผู้ลี้ภัยชาวไทยสูญหายเพิ่มอย่างน้อย 3 คน ยังไม่ทราบชะตากรรม
๐ ขอเพียงความจริง: แม่สยาม ธีรวุฒิ ยื่นหนังสือถึงสถานทูตเวียดนามขอให้เปิดเผยชะตากรรมของลูกชาย
๐ เสียงสะท้อนชีวิตของคนถูก “ซ่อน” และการต่อสู้เพื่อไม่ “หาย”
๐ ตามหาวันเฉลิม: ถอดบทเรียนการต่อสู้เพื่อกลไกป้องกันการบังคับสูญหาย
๐ “อ๊อด ไชยวงศ์” ชาวลาวหายตัวใน กทม. ระหว่างรอการลี้ภัยไปประเทศที่สาม
๐ ทบทวนกรณี #SaveRahaf กับสิทธิผู้ลี้ภัยในยุคคสช.
Non-refoulement – หลักการไม่ส่งกลับ
Non-refoulement หรือการไม่ส่งกลับ อ่านว่า นอนเคโฟมอง เป็นหลักการที่บัญญัติไว้ในอนุสัญญาว่าด้วยสถานภาพผู้ลี้ภัยปี 1951 (The 1951 Refugee Convention) มาตรา 33(1) ระบุว่า รัฐภาคีไม่สามารถขับไล่ หรือส่งตัวผู้ลี้ภัยกลับ (ผลักดันกลับ) ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม ไปยังพรมแดนแห่งอาณาเขตที่ชีวิตหรือเสรีภาพของผู้ลี้ภัยจะตกอยู่ภายใต้ภัยคุกคาม เพราะเหตุแห่งเชื้อชาติ ศาสนา สัญชาติ สมาชิกภาพของกลุ่มทาง สังคม หรือความคิดเห็นทางการเมือง
“Article 33 prohibition of expulsion or return (“refoulement”)
1. No Contracting State shall expel or return (“refouler”) a refugee in any manner whatsoever to the frontiers of territories where his life or freedom would be threatened on account of his race, religion, nationality, membership of a particular social group or political opinion.
2. The benefit of the present provision may not, however, be claimed by a refugee whom there are reasonable grounds for regarding as a danger to the security of the country in which he is, or who, having been convicted by a final judgment of a particularly serious crime, constitutes a danger to the community of that country.”
มาตราดังกล่าวให้การคุ้มครองแก่ผู้ที่เข้าข่ายนิยามของผู้ลี้ภัยตามอนุสัญญา และถือว่าใช้บังคับได้กับผู้แสวงหาที่ลี้ภัยที่ได้รับการยอมรับเข้าสู่ดินแดนใดๆแล้ว ทั้งนี้หลักการไม่ส่งกลับมีข้อยกเว้นตามมาตรา 33(2) ว่า ไม่สามารถใช้อ้างโดยผู้ลี้ภัยที่มีเหตุอันสมควรเชื่อได้ว่าเป็นภัยต่อความความมั่นคงของรัฐที่ผู้ลี้ภัยพำนักอยู่ หรือผู้ที่ได้รับการตัดสินเป็นที่สิ้นสุดว่า ได้ก่ออาชญากรรมร้ายแรงที่เป็นภัยต่อประชาสังคมแห่งรัฐนั้น
หลักการไม่ส่งกลับได้รับการยอมรับเพิ่มเติมโดยมาตรา 3 ของปฏิญญาว่าด้วยการลี้ภัยเชิงอาณาเขตปี 1967 บัญญัติโดยสรุปว่า บุคคลที่แสวงหาที่ลี้ภัยจะต้องไม่ถูกใช้มาตรการ เช่น การปฏิเสธที่พรมแดน หรือถ้าบุคคลดังกล่าวเข้ามาในดินแดนที่เขาแสวงหาที่ลี้ภัยแล้วจะไม่เผชิญกับมาตรการขับไล่หรือการส่งกลับโดยบังคับไปยังรัฐใดที่เขาอาจถูกประหัตประหาร ซึ่งมีข้อยกเว้นที่จะทำได้เพียงเหตุผลสำคัญ เช่น ความมั่นคงของชาติหรือการไหล่บ่าเข้ามาของกลุ่มบุคคลที่แสวงหาที่ลี้ภัย อย่างไรก็ตามหากรัฐเห็นว่า เข้าข้อยกเว้นดังกล่าว รัฐควรพิจารณามาตรการอื่นตามที่เหมาะสม โอกาสในการเดินทางไปยังรัฐอื่น
“Article 3
1. No person referred to in article 1, paragraph 1, shall be subjected to measures such as rejection at the frontier or, if he has already entered the territory in which he seeks asylum, expulsion or compulsory return to any State where he may be subjected to persecution.
2. Exception may be made to the foregoing principle only for overriding reasons of national security or in order to safeguard the population, as in the case of a mass influx of persons.
3. Should a State decide in any case that exception to the principle stated in paragraph 1 of this article would be justified, it shall consider the possibility of granting to the person concerned, under such conditions as it may deem appropriate, an opportunity, whether by way of provisional asylum or otherwise, of going to another State.”
ย้อนอ่านบทความเกี่ยวกับการบังคับส่งกลับผู้แสวงหาที่ลี้ภัยของประเทศไทย
๐ ชะตากรรมผู้ลี้ภัยการเมืองชาวไทย และผู้ลี้ภัยชาวต่างชาติในไทย ตั้งแต่ปี 2557
๐ ชาวอุยกูร์ขอไทยไม่บังคับส่งกลับจีนเหตุเสี่ยงต่อการคุมขังและเสียชีวิต
๐ ฉาย “ละครคุณธรรม” บังคับส่งกลับผู้ลี้ภัยอุยกูร์ ทำลายภาพลักษณ์ไทยในเวทีโลก
๐ ภูมิธรรมแจงจีนมีจดหมายทางการทูต ส่งอุยกูร์ไปประเทศที่สามคือเรื่องเพ้อฝัน
ทางออกที่ยั่งยืนของผู้ลี้ภัยตามแนวทางของ UNHCR
ข้อมูลจากสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) ระบุว่า เป้าหมายสูงสุดของ UNHCR คือการช่วยหาทางออกที่ยั่งยืน (Durable Solutions) ที่จะช่วยให้ผู้ลี้ภัยสร้างชีวิตใหม่ที่ยืนบนฐานของความมีศักดิ์ศรีและความสงบสุข ทางออกที่ยั่งยืนมีสามทางดังนี้
การส่งกลับถิ่นฐานโดยสมัครใจ (Voluntary Repatriation)
UNHCR ทำงานร่วมกับประเทศต้นกำเนิดและประเทศที่สามหรือประเทศเจ้าภาพเพื่อช่วยให้ผู้ลี้ภัยกลับประเทศต้นกำเนิด ทางออกนี้คือการกลับสู่ประเทศต้นกำเนิดอย่างปลอดภัยและมีศักดิ์ศรี โดยอิงการตัดสินใจที่เสรีและมีข้อมูลเพียงพอ หากผู้ลี้ภัยเลือกที่จะกลับและสภาวะในประเทศต้นกำเนิดเอื้ออำนวยต่อการกลับ UNHCR จะทำงานร่วมกับประเทศต้นกำเนิดและประเทศเจ้าภาพในการช่วยผู้ลี้ภัยให้กลับประเทศต้นกำเนิด
การอยู่ร่วมกันกับพื้นที่ใหม่ (Local Integration)
การอยู่ร่วมกันกับพื้นที่ใหม่ (Local Integration) เป็นกระบวนการทางกฎหมาย เศรษฐกิจ และสังคม-วัฒนธรรมที่มุ่งหมายที่จะให้ผู้ลี้ภัยมีสิทธิถาวรในการอยู่ในประเทศที่ให้การลี้ภัย หรืออาจขอสถานะพลเมืองได้ กระบวนการนี้จะเกิดขึ้นหลังจากการให้สถานะผู้ลี้ภัยอย่างเป็นทางการ ไม่ว่าจะเป็นรายบุคคลหรือกระบวนการแบบกลุ่ม ในประเทศที่มีผู้ลี้ภัยที่รอการตั้งถิ่นฐานใหม่ในประเทศที่สาม แต่ไม่สามารถไปได้ประเทศดังกล่าวสามารถใช้กระบวนการนี้เป็นหนึ่งในทางออกที่ยั่งยืนได้
การตั้งถิ่นฐานใหม่ (Resettlement)
การตั้งถิ่นฐานใหม่ (Resettlement) คือการที่ผู้ลี้ภัยออกไปตั้งถิ่นฐานใหม่ในประเทศที่สามหรือประเทศที่มีนโยบายยอมรับผู้ลี้ภัย มักจะเป็นกระบวนการที่ผ่านสามประเทศคือ ประเทศต้นกำเนิดที่ผู้ลี้ภัยหนีการประหัตประหาร ประเทศที่ผู้ลี้ภัยแสวงหาที่ลี้ภัยและประเทศที่สามหรือประเทศเจ้าภาพที่รับผู้ลี้ภัย หากผู้ลี้ภัยได้ตั้งถิ่นฐานใหม่จะได้รับการคุ้มครองทางกฎหมายและทางกายภาพ รวมถึงการเข้าถึงสิทธิพลเมือง การเมือง เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมที่คล้ายคลึงกับที่พลเมืองในประเทศนั้นๆ ได้รับ การตั้งถิ่นฐานใหม่ไม่ใช่สิทธิและไม่มีข้อผูกพันที่รัฐใดๆ จะต้องรับการตั้งถิ่นฐานใหม่ของผู้ลี้ภัย ประเทศที่พิจารณาการตั้งถิ่นฐานใหม่มีจำนวนน้อยมาก ซึ่งจะกำหนดโควตาและเกณฑ์ของผู้ลี้ภัยที่ประเทศนั้นจะรับไปตั้งถิ่นฐานใหม่
ในแต่ละปีมีผู้ลี้ภัยทั่วโลกเพียงไม่ถึงร้อยละ 1 ที่ได้รับการตอบรับให้ไปตั้งถิ่นฐานใหม่ในประเทศที่สาม เช่นเดียวกับประเทศไทยในฐานะประเทศที่สองที่ผู้ลี้ภัยได้รับการตอบรับไปตั้งถิ่นฐานน้อยมาก หลายครั้งเป็นกรณีที่ผู้ลี้ภัยมีภัยจากการประหัตประหารเข้าใกล้มาแล้วจึงจะได้รับการตอบรับ เช่น กรณีของคูคำ แก้วมนีวง นักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตย กลุ่มลาวเสรี เขาลี้ภัยมาประเทศไทยและขึ้นทะเบียนผู้ลี้ภัยกับ UNHCR ตั้งแต่ปี 2559 ต่อมาวันที่ 29 มกราคม 2565 เขาถูกจับกุมและเสี่ยงที่จะถูกผลักดันกลับไปประเทศลาวที่อาจเผชิญกับการประหัตประหารได้ ท้ายที่สุดคูคำได้รับการตอบรับไปตั้งถิ่นฐานใหม่ที่ประเทศแคนาดา
โดยสรุปแล้วขั้นตอนการลี้ภัยแบบตั้งถิ่นฐานใหม่โดยทั่วไปมีดังนี้
1. บุคคลหลบหนีจากการประหัตประหารจากประเทศต้นกำเนิดไปยังประเทศที่สองด้วยเหตุผลได้แก่ เชื้อชาติ ศาสนา สัญชาติ สมาชิกภาพในกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งทางสังคมและความคิดเห็นทางการเมือง
2. บุคคลเดินทางถึงประเทศที่สองจะถือว่า เป็นผู้แสวงหาที่ลี้ภัย (Asylum seeker) และผู้ลี้ภัย (Refugee) ในความหมายแบบกว้าง
3. ผู้ลี้ภัยจะต้องยื่นคำร้องต่อ UNHCR และได้รับการรับรองสถานะผู้ลี้ภัย (Recognized refugee) จากนั้นรอการพิจารณาเพื่อตั้งถิ่นฐานใหม่ โดยผู้ลี้ภัยไม่สามารถเลือกประเทศที่จะตั้งถิ่นฐานใหม่ได้ UNHCR จะเป็นผู้พิจารณาเงื่อนไขต่างๆ และโควตาของประเทศนั้นๆ และตัดสินใจส่งคำร้องไปยังประเทศดังกล่าว การตัดสินใจสุดท้ายจะอยู่ที่ประเทศที่สาม
4. ผู้ลี้ภัยจะต้องรอโดยไม่มีกำหนดเวลาการตอบรับจากประเทศที่รับไปตั้งถิ่นฐานใหม่ที่ชัดเจน บางคนอาจใช้เวลาประมาณหกเดือน บางคนอาจใช้เวลาหลายปี
กฎหมายและกระบวนการคัดกรองผู้ลี้ภัยของประเทศไทย
ประเทศไทยไม่ได้เป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยสถานภาพผู้ลี้ภัยปี 1951 (The 1951 Refugee Convention) แต่ยังมีอนุสัญญาฉบับอื่นไทยเป็นภาคีและมีการบัญญัติคุ้มครองสิทธิผู้ลี้ภัยในบางแง่มุม และกฎหมายภายในประเทศที่กำหนดมาตรการหรือกระบวนการในการจัดการผู้ลี้ภัย เช่น
การคุ้มครองผู้ลี้ภัยเด็กในอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก
12 กุมภาพันธ์ 2535 ไทยเข้าร่วมเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (Convention on the Rights of the Child – CRC)และมีผลบังคับใช้ในเดือนถัดมา ขณะนั้นไทยได้ตั้งข้อสงวนรวมถึงข้อ 22 ว่าด้วยการคุ้มครองผู้ลี้ภัยเด็ก ต่อมาวันที่ 30 สิงหาคม 2567 ไทยถอนข้อสงวน ข้อ 22 ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
ข้อ 22 1. รัฐภาคีจะดำเนินมาตรการที่เหมาะสมที่จะประกันว่า เด็กที่ร้องขอสถานะเป็นผู้ลี้ภัย หรือที่ได้รับการพิจารณาเป็นผู้ลี้ภัยตามกฎหมายหรือกระบวนการภายในหรือระหว่างประเทศที่ใช้บังคับ ไม่ว่าจะมีบิดามารดาของเด็กหรือบุคคลอื่น ติดตามมาด้วยหรือไม่ก็ตาม จะได้รับการคุ้มครองและความช่วยเหลือทางมนุษยธรรมที่เหมาะสมในการได้รับสิทธิที่มีอยู่ตามที่ระบุไว้ในอนุสัญญานี้และในตราสารระหว่างประเทศอื่น ๆ อันเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนหรือมนุษยธรรมซึ่งรัฐดังกล่าวเป็นภาคี
2. เพื่อวัตถุประสงค์นี้ รัฐภาคีจะให้ความร่วมมือตามที่พิจารณาว่าเหมาะสมแก่ความพยายามใด ๆ ของทั้งองค์การสหประชาชาติ และองค์การระดับรัฐบาล หรือองค์การที่มิใช่ระดับรัฐบาลอื่นที่มีอำนาจ ซึ่งร่วมมือกับองค์การสหประชาชาติในการคุ้มครองและช่วยเหลือเด็กเช่นว่า และในการติดตามหาบิดามารดาหรือสมาชิกอื่นของครอบครัวของเด็กผู้ลี้ภัย เพื่อให้ได้รับข้อมูลข่าวสารที่จำเป็นสำหรับการกลับไปอยู่ร่วมกันใหม่เป็นครอบครัวของเด็ก ในกรณีที่ไม่สามารถค้นพบบิดามารดาหรือสมาชิกอื่น ๆ ของครอบครัวของเด็กนั้น จะได้รับการคุ้มครองเช่นเดียวกับเด็กที่ถูกพรากจากสภาพครอบครัวทั้งที่เป็นการถาวรหรือชั่วคราวไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด ดังเช่นที่ได้ระบุไว้ในอนุสัญญานี้
มาตรการไม่ส่งกลับในพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย 2565
มาตรา 13 ระบุว่า ห้ามมิให้หน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐขับไล่ ส่งกลับ หรือส่งบุคคลเป็นผู้ร้ายข้ามแดนไปยังอีกรัฐหนึ่ง หากมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าบุคคลนั้น จะไปตกอยู่ในอันตรายที่จะถูกกระทำทรมาน ถูกกระทำการที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ หรือถูกกระทำให้สูญหาย
การคัดกรองผู้ลี้ภัยตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการคัดกรองคนต่างด้าวฯ
25 ธันวาคม 2562 ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการคัดกรองคนต่างด้าวที่เข้ามาในราชอาณาจักรและไม่สามารถเดินทางกลับประเทศอันเป็นภูมิลำเนาได้ 2562 (ระเบียบคัดกรองคนต่างด้าวฯ) หลักการสำคัญ คือ จัดให้มีคณะกรรมการพิจารณาคัดกรองผู้ได้รับการคุ้มครอง ซึ่งมีนิยามว่า “คนต่างด้าวที่เข้ามาหรืออยู่ในราชอาณาจักรและไม่สามารถ หรือไม่สมัครใจที่จะเดินทางกลับไปยังประเทศอันเป็นภูมิลำเนาของตน เนื่องจากมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่า จะได้รับอันตรายจากการถูกประหัตประหาร…และได้รับสถานะเป็นผู้ได้รับการคุ้มครองตามระเบียบนี้”
การคัดกรองจะมีสองขั้นตอนคือ หนึ่ง ขั้นตอนการตรวจสอบว่า จะสามารถยื่นคำขอเป็นผู้ได้รับการคุ้มครองหรือไม่ ระเบียบระบุโดยสรุปว่า ผู้ที่อ้างตัวว่ามีเหตุสมควรให้ได้รับการคุ้มครองให้ยื่นคำร้องต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง ซึ่งมีหน้าที่จะต้องพิจารณาคำร้องให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน หากยกคำร้องบุคคลดังกล่าวสามารถอุทธรณ์ได้ภายใน 15 วัน สอง ขั้นตอนการตัดสินว่า ผู้นั้นจะเข้านิยามของผู้ได้รับการคุ้มครองหรือไม่ ระเบียบระบุโดยสรุปว่า ในกรณีที่พนักงานเจ้าหน้าที่เห็นว่า มีสิทธิยื่นคำขอเป็นผู้ได้รับการคุ้มครอง ให้แจ้งให้บุคคลดังกล่าวยื่นคำขอเป็นผู้ได้รับการคุ้มครองต่อคณะกรรมการพิจารณาคัดกรองผู้ได้รับการคุ้มครอง จากนั้นคณะกรรมการฯ จะคัดกรองและมีมติให้หรือไม่ให้สถานะแก่ผู้ยื่นคำขอ ในชั้นนี้มติของคณะกรรมการถือเป็นที่สุด
ผู้ได้รับการคุ้มครองจะไม่ถูกส่งตัวกลับภูมิลำเนาเว้นแต่สมัครใจ โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องดำเนินการตามสมควรในเรื่องการสาธารณสุขแก่ผู้ได้รับการคุ้มครองและการศึกษาแก่ผู้ได้รับการคุ้มครองที่เป็นเด็ก
แปลและเรียบเรียงจาก
- Asian-African Legal Consultative Organization. (1966). Final text of the AALCO’s 1966 Bangkok principles on status and treatment of refugees. https://www.aalco.int/final%20text%20of%20bangkok%20principles.pdf
- Crock, M. (2016). Refugees and rights. Routledge.
- United Nations Digital Library. (1967). Declaration on territorial asylum. https://digitallibrary.un.org/record/203069?ln=en&v=pdf
- United Nations High Commissioner for Refugees. (n.d.). Asylum in Thailand. https://help.unhcr.org/thailand/asylum/
- United Nations High Commissioner for Refugees. (n.d.). Convention and protocol relating to the status of refugees. https://www.unhcr.org/sites/default/files/2025-02/1951-refugee-convention-1967-protocol.pdf
- United Nations High Commissioner for Refugees. (n.d.). Number of people uprooted by war at shocking, decade-high levels. https://www.unhcr.org
- United Nations High Commissioner for Refugees. (n.d.). Resettlement. https://help.unhcr.org/thailand/options-for-the-future/resettlement/
- United Nations Human Rights Office of the High Commissioner. (n.d.). Universal Declaration of Human Rights – Thai. https://www.ohchr.org/en/human-rights/universal-declaration/translations/thai