สรุปร่าง “รื้อระบอบประยุทธ์” ยกเลิก ส.ว. รื้อองค์กรอิสระ เพิ่มอำนาจฝ่ายค้าน

6 เมษายน 2564 กลุ่ม Resolution เปิดตัวแคมเปญ “ขอคนละชื่อ รื้อระบอบประยุทธ์” โดยนำเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ฉบับใหม่ ให้ประชาชนช่วยกันเข้าชื่อให้ครบ 50,000 รายชื่อ เพื่อนำเสนอต่อรัฐสภา 
จุดเด่นของร่างฉบับนี้ คือ การเสนอให้ “ยกเลิกวุฒิสภา” เปลี่ยนมาใช้เป็นระบบ “สภาเดี่ยว” ที่เหลือแต่สภาผู้แทนราษฎรซึ่งมาจากการเลือกตั้งเท่านั้น การกำหนดให้นายกรัฐมนตรีต้องเป็น ส.ส. การยกเลิกแผนยุทธศาสตร์ 20 ปี และแผนปฏิรูปประเทศของ คสช. การ “รื้อ” ที่มาองค์กรอิสระและศาลรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งหมด รวมทั้งออกแบบกลไกใหม่ที่หวังจะป้องกันไม่ให้การรัฐประหารเกิดขึ้นได้อีก
ยกเลิก ส.ว. แล้วเชื่อมั่นในสภาผู้แทนราษฎร
ตามร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ “รื้อระบอบประยุทธ์” ได้เสนอให้ยกเลิก “หมวด 7 รัฐสภา” ตามรัฐธรรมนูญ 2560 และเขียนหมวด 7 ขึ้นใหม่ทั้งหมวด ชื่อว่า สภาผู้แทนราษฎร 
โดยให้เหลือเพียงสภาผู้แทนราษฎร หรือ ส.ส. ไม่ปรากฏคำว่า “วุฒิสภา” หรือ ส.ว. อีกแล้วในร่างฉบับนี้ เท่ากับเป็นการเสนอการปกครองรูปแบบ “สภาเดี่ยว” และให้สภาผู้แทนราษฎรมาจากการเลือกตั้งทั้งหมด โดยยังคงมีจำนวน ส.ส. 500 คน ซึ่ง 350 คนมาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขต และ 150 คน มาจากการเลือกตั้งระบบบัญชีรายชื่อ
สำหรับระบบการเลือกตั้งและวิธีการคำนวนที่นั่งของ ส.ส. ระบบบัญชีรายชื่อ รวมทั้งคุณสมบัติของผู้สมัครเป็น ส.ส. นั้น เสนอไว้ “เหมือนเดิม” คือ ไม่ได้แก้ไขให้เปลี่ยนแปลงไปจากที่รัฐธรรมนูญ 2560 กำหนดไว้
เนื่องจากไม่มี ส.ว. แล้ว ดังนั้นอำนาจหน้าที่เดิมที่เคยต้องให้ ส.ว. เป็นผู้ตัดสินใจจึงต้องเปลี่ยนให้เป็นอำนาจของ ส.ส. เพียงสภาเดียว 
อำนาจลงมติเลือกนายกรัฐมนตรี เป็นอำนาจของ ส.ส. อยู่แล้ว ซึ่งเป็นเช่นนี้มานานแล้วในประวัติศาสตร์
อำนาจพิจารณา และลงมติเพื่อออกฎหมายระดับพระราชบัญญัติ ก่อนหน้านี้รัฐธรรมนูญไทยส่วนใหญ่ให้มีการกลั่นกรองสองชั้น โดยสองสภา แต่เมื่อเสนอให้เป็นสภาเดี่ยวก็จึงให้เป็นอำนาจของ ส.ส. ฝ่ายเดียว
อำนาจพิจารณา และลงมติเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ ให้เป็นอำนาจของ ส.ส. แต่ต้องใช้เสียง 2 ใน 3 ของ ส.ส. ทั้งหมดเท่าที่มีอยู่
อำนาจพิจารณาและเห็นชอบผู้มาดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ ให้เป็นอำนาจของ ส.ส. 2 ใน 3 ของ ส.ส. ทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ และมีโควต้าให้คนที่ถูกเสนอชื่อโดยฝ่ายค้านและรัฐบาล
ส่วนอำนาจพิเศษอื่นๆ ที่มีอยู่ตามรัฐธรรมนูญ 2560 เช่น การติดตามและกำกับดูแลการปฏิบัติตามแผนยุทธศาสตร์ และแผนการปฏิรูปประเทศของ คสช. หรือการร่วมกับ ส.ส. พิจารณาและลงมติออกกฎหมายที่เกี่ยวกับการปฏิรูปประเทศ ก็จะถูกยกเลิกไปทั้งหมดพร้อมข้อเสนอให้ยกเลิกกลไกเหล่านี้ของระบอบประยุทธ์ด้วย
พริษฐ์ วัชรสินธุ์ เคยอธิบายถึงข้อดีของการใช้ระบบสภาเดี่ยว ไว้ว่า ประเด็นแรกคือ ลดงบประมาณลง ค่าใช้จ่ายของการมี ส.ว. ประมาณ 1,200 ล้านบาทต่อปี รวมค่าตอบแทน ค่าเดินทาง ประเด็นที่สอง คือ ระยะเวลาในการออกกฎหมายแต่ละฉบับจะสั้นลง การออกกฎหมายเพื่อตอบสนองความเปลี่ยนแปลงของโลกจะคล่องตัวมากขึ้น
พริษฐ์กล่าวด้วยว่า ถ้าหากเราไม่มี ส.ว. เราอาจจะกลัวว่า จะสูญเสียความเชี่ยวชาญของแต่ละวิชาชีพ แต่ก็มีทางเลือก คือ การเพิ่มบทบาทของตัวแทนจากองค์กรวิชาชีพให้เป็นกรรรมาธิการในการร่างกฎหมาย หรือหากจะกลัวว่า ส.ว. จำเป็นต้องทำหน้าที่ปกป้องผลประโยชน์ของท้องถิ่น ซึ่งก็มีทางเลือก คือ การกระจายอำนาจให้ท้องถิ่น ให้แต่ละจังหวัดจัดการตนเองได้
เขียนให้ชัด นายกฯ ต้องมาจาก ส.ส.
ร่าง “รื้อระบอบประยุทธ์” ยังคงไว้ซึ่งเงื่อนไขของ “ที่มานายกฯ” โดยกำหนดให้พรรคการเมืองที่ส่งผู้สมัครต้องแจ้งรายชื่อบุคคลที่จะเสนอให้เป็นนายกรัฐมนตรี ไม่เกินพรรคละสามรายชื่อ และให้ประกาศต่อประชาชนก่อนการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นระบบเดียวกับรัฐธรรมนูญ 2560 ที่ผู้ร่างอธิบายข้อดีว่า จะช่วยให้ประชาชนทราบได้ชัดเจนมากขึ้นว่า ใครจะเป็นนายกรัฐมนตรีเมื่อออกเสียงให้กับพรรคการเมืองนั้นไปแล้ว
แต่ระบบ “บัญชีว่าที่นายกฯ” ตามรัฐธรรมนูญ 2560 ยังมีข้ออ่อนเนื่องจากให้พรรคการเมืองเสนอชื่อ “ใครก็ได้” ที่ไม่ต้องลงสมัครรับเลือกตั้งด้วยตัวเอง ไม่ต้องหาเสียงกับประชาชน และไม่ต้องทำงานร่วมกับพรรคการเมืองนั้นๆ ก็ได้ ซึ่งเป็นช่องทางที่เขียนไว้เพื่อให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรัฐประหารเป็นนายกฯรัฐมนตรีต่อได้โดยไม่ต้องลงสนามเลือกตั้งเอง
ดังนั้น ร่าง “รื้อระบอบประยุทธ์” จึงเขียนไว้ในมาตรา 85 ให้ชัดเจนว่า ผู้ได้รับการเสนอชื่อต้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. และมีคุณสมบัติ ไม่มีลักษณะต้องห้ามที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี
และในมาตรา 159 ก็เขียนว่า ให้สภาผู้แทนราษฎร พิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมตรีจากบุคคลที่ซึ่งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร …
โดยสรุป คือ ตามร่าง “รื้อระบอบประยุทธ์” ผู้ที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีได้ ต้องเป็น ส.ส. เท่านั้น และพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะไม่สามารถมาเป็นนายกรัฐมนตรีได้ด้วยการไม่ลงสมัครรับเลือกตั้งแบบเดิม
“รื้อองค์กรอิสระ” ให้มีที่มาทั้งจากฝ่ายค้านและรัฐบาล
องค์กรอิสระที่ควรทำหน้าที่ตรวจสอบการใช้อำนาจของรัฐบาลและการทุจริตคอร์รัปชั่นตามรัฐธรรมนูญ 2560 ได้แก่ ศาลรัฐธรรมนูญ, คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.), คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.), คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.), ผู้ตรวจการแผ่นดิน และคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ซึ่งทุกองค์กรมีที่มาจากกรรมการสรรหาที่ประกอบด้วยตัวแทนองค์กรอื่นๆ และต้องผ่านความเห็นชอบของวุฒิสภา ทำให้ได้องค์กรอิสระที่ไม่เป็นกลาง และไม่เคยตรวจสอบรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้จริง
ร่าง “รื้อระบอบประยุทธ์” จึงนำเสนอกระบวนการสรรหาและที่มาองค์กรอิสระแบบใหม่ ให้มีโควต้าทั้งจากสถาบันศาลจำนวนหนึ่ง และมีโควต้าจาก ส.ส. ฝ่ายรัฐบาล และโควต้าจาก ส.ส. ฝ่ายค้าน จำนวนเท่ากัน เพื่อให้มีทั้งผู้มีความรู้ทางด้านกฎหมายและประสบการณ์ในการวินิจฉัยคดี และมีตัวแทนของความแตกต่างทางการเมือง โดยสุดท้ายผู้ที่ลงมติเลือก คือ ส.ส. โดยไม่ใช้เพียงแค่วิธีการ “เห็นชอบ” แต่ให้คนที่ได้เสียงสนับสนุนจาก ส.ส. มากที่สุดได้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ และยังต้องได้เสียงอย่างน้อย 2 ใน 3 ของ ส.ส. ที่มีอยู่
ตัวอย่างเช่น ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ให้มีจำนวน 9 คน มีที่มาดังนี้
1) ให้ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา และที่ประชุมใหญ่ศาลปกครองสูงสุด เสนอชื่อมาอย่างละ 3 คน รวมเป็น 6 คน และให้ ส.ส. ลงมติเลือกผู้ที่ได้คะแนนสูงสุด 3 คน ซึ่งต้องได้คะแนนเสียงมากกว่า 2 ใน 3
2) ให้พรรคการเมืองที่มีสมาชิกเป็นรัฐมนตรีหรือประธานสภา หรือ “ฝ่ายรัฐบาล” เสนอชื่อมา 6 คน และให้ ส.ส. ลงมติเลือกผู้ที่ได้คะแนนสูงสุด 3 คน ซึ่งต้องได้คะแนนเสียงมากกว่า 2 ใน 3
3) ให้พรรคการเมืองที่ไม่มีสมาชิกเป็นรัฐมนตรี หรือประธานสภา ซึ่งอาจทั้ง ส.ส. จากพรรคฝ่ายค้านทั้งหมด และรวมถึง ส.ส. พรรคร่วมรัฐบาลขนาดเล็กที่ไม่มีรัฐมนตรีด้วย ในที่นี้จะเรียกสั้นๆ เพื่อความเข้าใจว่า “ฝ่ายค้าน” เสนอชื่อมา 6 คน และให้ ส.ส. ลงมติเลือกผู้ที่ได้คะแนนสูงสุด 3 คน ซึ่งต้องได้คะแนนเสียงมากกว่า 2 ใน 3
นอกจากเรื่องที่มาแล้ว ร่าง “รื้อระบอบประยุทธ์” กำหนดคุณสมบัติของผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระทุกแห่งไว้ด้วยว่า “ไม่ฝักใฝ่เผด็จการ” และยังกำหนดลักษณะต้องห้ามว่า ต้องไม่เคยดำรงตำแหน่งในองค์กรใดๆ ที่ตั้งขึ้นโดยคณะรัฐประหาร 2549 และคณะรัฐประหาร 2557
โดยร่างฉบับนี้ยังกำหนดไว้ด้วยว่า ถ้าหากผ่านการพิจารณาและมีผลบังคับใช้เมื่อใด ให้กรรมการที่ดำรงตำแหน่งอยู่ในองค์กรอิสระทั้งหลาย “พ้นจากตำแหน่งทันที” และให้เริ่มกระบวนการสรรหาชุดใหม่เข้าทำหน้าที่แทน
แต่สำหรับผู้ตรวจการแผ่นดิน ซึ่งเดิมมีอำนาจหน้าที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงที่ประชาชนได้รับความเดือดร้อนและไม่เป็นธรรมจากการปฏิบัติหน้าที่ของรัฐ​และเสนอแนะให้ระงับความเดือดร้อน หรือเสนอให้แก้ไข หรือออกกฎหมาย เพื่อแก้ปัญหาความเดือดร้อนหรือความไม่เป็นธรรมแก่ประชาชน เป็นองค์กรที่เสนอให้ยุบเลิกไป และโอนอำนาจหน้าที่กับกิจการทั้งหลายไปให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติรับดำเนินการต่อ
ศาลถูกตรวจสอบและถอดถอนได้ โดยสภา+ประชาชน
ร่าง “รื้อระบอบประยุทธ์” ได้นำเสนอระบบใหม่ ที่ไม่มีอยู่ในรัฐธรรมนูญ 2560 ว่าด้วยการ “ตรวจสอบตุลาการ” กำหนดไว้ในมาตรา 193/1 ว่า ตุลาการที่มีตำแหน่งระดับสูง ได้แก่ ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประธานศาลฎีกา ประธานศาลปกครองสูงสุด ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ผู้พิพากษาศาลฎีกา และตุลาการศาลปกครองสูงสุด อาจถูกถอดถอนได้ถ้ามีเหตุดังต่อไปนี้
1) มีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ
2) ส่อไปในทางทุจริตต่อหน้าที่ ส่อว่ากระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ส่อว่ากระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม
3) ส่อว่าจงใจใช้อำนาจขัดต่อรัฐธรรมนูญ หรือกฎหมาย
กระบวนการถอดถอน ตามมาตรา 193/2 เริ่มได้สองช่องทาง คือ ส.ส. เข้าชื่อกันไม่น้อยกว่า 1 ใน 4 หรือ 125 คน หรือประชาชนเข้าชื่อกันไม่น้อยกว่า 20,000 คน และยื่นเรื่องให้ประธานสภา เพื่อให้สภาผู้แทนราษฎรมีมติโดยอาศัยเสียง 3 ใน 5 ของ ส.ส. ทั้งหมด หรือประมาณ 300 คน เพื่อเสนอเรื่องไปยัง “องค์คณะพิจารณาถอดถอน”
องค์คณะพิจารณาถอดถอน ประกอบไปด้วย ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ผู้พิพากษศาลฎีกา ตุลาการศาลปกครองสูงสุด อย่างละ 1 คน ส.ส. จากฝ่ายรัฐบาล 2 คน และ ส.ส. จากฝ่ายค้าน 2 คน หากองค์คณะพิจารณาถอดถอนลงมติด้วยเสียงมากกว่าครึ่งให้ถอดถอน ตุลาการที่ถูกกล่าวหาก็พ้นจากตำแหน่ง
แต่หากองค์คณะพิจารณาถอดถอนลงมติว่า “ไม่ถอดถอน” ก็ให้ส่งเรื่องกลับมาที่สภาผู้แทนราษฎรอีกครั้งหนึ่ง และถ้าสภาผู้แทนราษฎรลงมติด้วยเสียง 3 ใน 4 ของ ส.ส. ทั้งหมด หรือประมาณ 375 คน ก็สามารถถอดถอนตุลาการที่ถูกกล่าวหาได้
สำหรับองค์กรอิสระอื่นๆ นอกจากศาลรัฐธรรมนูญก็อาจถูกถอดถอนได้โดย ส.ส. เข้าชื่อกันไม่น้อยกว่า 1 ใน 4 หรือ 125 คน หรือประชาชนเข้าชื่อกันไม่น้อยกว่า 20,000 คน และยื่นเรื่องให้ประธานสภา เพื่อให้สภาผู้แทนราษฎรมีมติโดยอาศัยเสียง 3 ใน 5 ของ ส.ส. ทั้งหมด หรือประมาณ 300 คน เพื่อส่งให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นผู้วินิจฉัย หากวินิจฉัยว่าให้ยกคำร้อง ก็ให้ส่งเรื่องกลับมาที่สภาผู้แทนราษฎรอีกครั้งหนึ่ง และถ้าสภาผู้แทนราษฎรลงมติด้วยเสียง 3 ใน 4 ของ ส.ส. ทั้งหมด หรือประมาณ 375 คน ก็สามารถถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระที่ถูกกล่าวหาได้
เพิ่มอำนาจประชาชน เข้าชื่อเสนอกฎหมายไม่จำกัดประเภท
ตามรัฐธรรมนูญ 2560 ให้อำนาจประชาชนสามารถเข้าชื่อกันเพื่อมีส่วนร่วมทางการเมืองได้เพียงสามกรณี คือ การเข้าชื่อ 10,000 คน เสนอร่างพระราชบัญญัติ การเข้าชื่อ 20,000 คนเสนอถอดถอน ป.ป.ช. และการเข้าชื่อ 50,000 คน เสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ
แต่การเข้าชื่อเพื่อเสนอร่างพระราชบัญญัติ ตามรัฐธรรมนูญ 2560 ยังคงจำกัดว่า ประชาชนสามารถเสนอได้เพียงกฎหมายที่อยู่ใน หมวด 3 สิทธิเสรีภาพของปวงชนชาวไทย และหมวด 5 แนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ เท่านั้น เมื่อประชาชนเข้าชื่อกันครบและร่างกฎหมายเสนอต่อประธานสภา ประธานสภาเป็นผู้มีอำนาจวินิจฉัยเพียงผู้เดียวว่า ร่างกฎหมายฉบับใดอยู่ใน “หมวด 3 หมวด 5” หรือไม่ ซึ่งมีหลายกรณีที่ประธานสภาใช้ช่องทางนี้สั่ง “ไม่รับ” กฎหมายที่ประชาชนเข้าชื่อกันเสนอ เช่น การไม่รับวินิจฉัยร่างแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 เพราะเห็นว่าเป็นกฎหมายหมวด 2 พระมหากษัตริย์ การไม่รับวินิจฉัยร่างพ.ร.บ.การจัดทำหนังสือสัญญาระหว่างประเทศ 
ร่าง “รื้อระบอบประยุทธ์” จึงแก้ไขให้ชัดเจนว่า ประชาชนเมื่อเข้าชื่อกัน 10,000 คน มีสิทธิเสนอร่างกฎหมายต่อสภาได้ โดยไม่จำกัดประเภท ไม่จำกัดหมวด
นอกจากนี้ ร่าง “รื้อระบอบประยุทธ์” ยังเปิดให้ประชาชนสามารถเสนอพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ได้ด้วย อันได้แก่ กฎหมายเกี่ยวกับการเลือกตั้ง และกฎหมายเกี่ยวกับองค์กรอิสระต่างๆ โดยใช้การเข้าชื่อ 20,000 คน ซึ่งไม่เคยมีรัฐธรรมนูญฉบับใดของไทย เปิดให้ประชาชนสามารถเข้าชื่อเสนอพ.ร.ป.ได้มาก่อน
การเข้าชื่อ 20,000 คน เพื่อเสนอถอดถอนตุลาการ และผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระก็เป็นประเด็นสำคัญที่เพิ่มขึ้นมาให้ประชาชนมีอำนาจมากขึ้น มีช่องทางการมีส่วนร่วมทางการเมืองได้มากขึ้น ส่วนการเข้าชื่อเพื่อเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก็ยังอาศัยประชาชน 50,000 คน เช่นเดิม
 
อย่างไรก็ดี ตามรัฐธรรมนูญ 2540 และ 2550 ประชาชนเคยมีสิทธิที่จะเข้าชื่อกันเพื่อถอดถอนนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ส.ส. และ ส.ว. ด้วย ซึ่งร่าง “รื้อระบอบประยุทธ์” ยังไม่ได้นำเสนอให้สิทธิของประชาชนในเรื่องนี้กลับคืนมา
กลไกพิเศษ เพิ่มอำนาจตรวจสอบให้ฝ่ายค้าน
การทำงานของ ส.ส. ในสภาตามปกติจะมีการตั้งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ขึ้นมาเพื่อศึกษาลงลึกในประเด็นต่างๆ โดยมีตัวแทนจาก ส.ส. พรรคต่างๆ ตามสัดส่วนที่นั่งในสภาเข้ามานั่งใน กมธ. เพื่อพิจารณาในประเด็นย่อยๆ เช่น กมธ.การเกษตร กมธ.ตำรวจ กมธ.การต่างประเทศ เป็นต้น ซึ่งในปี 2564 มีกมธ.สามัญ รวม 35 ชุด ทำงานตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลในรายประเด็น แต่ปัญหาที่พบใน กมธ. ส่วนใหญ่ก็คือ เสียงส่วนใหญ่ใน กมธ. ก็เป็น ส.ส. จากฝ่ายรัฐบาลทำให้ฝ่ายค้านยังมีโอกาสทำงานตรวจสอบได้ไม่เต็มที่
ในร่าง “รื้อระบอบประยุทธ์” จึงเสนอไว้ในมาตรา 119 ว่า สำหรับ กมธ. ที่เกี่ยวกับกฎหมาย กระบวนการยุติธรรม สิทธิมนุษยชน การติดตามงบประมาณ การป้องกันการทุจริต สื่อสารมวลชน การมีส่วนร่วมของประชาชน การตรวจสอบการใช้งบประมาณแผ่นดิน ต้องให้ ส.ส. ฝ่ายค้านได้เป็นประธาน กมธ. อย่างน้อย 5 คณะ 
และให้เพิ่มกลไกพิเศษของรัฐสภาขึ้น ได่แก่ คณะผู้ตรวจการกองทัพ คณะผู้ตรวจการศาล และคณะผู้ตรวจการองค์กรอิสระ โดยให้มีสมาชิก 10 คนที่ต้องเป็น ส.ส. ฝ่ายค้านอย่างน้อย 5 คน
คณะผู้ตรวจการกองทัพ ไม่ได้มีอำนาจสั่งการรบแทนทหาร มีเพียงหน้าที่และอำนาจตรวจสอบการใช้งบประมาณของกองทัพ และรายได้ของกองทัพ ตรวจสอบการจัดซื้อจัดจ้าง ข้อร้องเรียนการละเมิดสิทธิจากทหาร หรือคนที่ถูกเกณฑ์ทหาร ทำรายงานเสนอแนะเพื่อปรับปรุงกองทัพให้ทันสมัยและสอดคล้องกับหลักการประชาธิปไตย และหลักการรัฐบาลพลเรือนมีอำนาจเหนือกองทัพ โดยให้สมาชิก 2 คน ไปดำรงตำแหน่งเป็นสมาชิกสภากลาโหม
คณะผู้ตรวจการศาลและศาลรัฐธรรมนูญ ไม่ได้มีอำนาจแทรกแซงการวินิจฉัยคดี มีเพียงหน้าที่และอำนาจตรรวจสอบการใช้งบประมาณของสำนังกานศาล ให้ความเห็นแก่ประธานศาลต่างๆ เกี่ยวกับแนวทางการบริหารงาน ศึกษาวิเคราะห์คุณภาพและผลกระทบของคำวินิจฉัยของศาล เพื่อประโยชน์ในการพัฒนากฎหมายและแนวคำวินิจฉัย โดยให้สมาชิกคนหนึ่งไปเป็นกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม และอีกคนหนึ่งไปเป็นกรรมการตุลาการศาลปกครอง
คณะผู้ตรวจการองค์กรอิสระ ไม่ได้มีอำนาจแทรกแซงการวินิจฉัยคดี มีเพียงหน้าที่และอำนาจ ตรวจสอบการใช้งบประมาณของสำนักงานขององค์กรอิสระ ให้ความเห็นเกี่ยวกับแนวทางการบริหารงาน ศึกษาวิเคราะห์คุณภาพและผลกระทบของคำวินิจฉัยของศาล เพื่อประโยชน์ในการพัฒนากฎหมายและแนวคำวินิจฉัย
กลไกพิเศษ หวังป้องกันการรัฐประหารในอนาคต
ร่าง “รื้อระบอบประยุทธ์” ได้เสนอให้ยกเลิกแผนยุทธศาสตร์ของ คสช. และยกเลิกหมวด 16 การปฏิรูปประเทศ แต่นำเสนอหมวด 16 แบบใหม่ ชื่อว่า “การลบล้างผลพวงรัฐประหาร เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม พุทธศักราช 2557 และการป้องกันและต่อต้านรัฐประหาร”
โดยให้ยกเลิก มาตรา 279 ของรัฐธรรมนูญ 2560 ที่นิรโทษกรรมให้กับคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และยกเลิกมาตรา 48 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557 ที่นิรโทษกรรมให้กับ คสช. ไว้ก่อนหน้านี้ โดยเขียนให้ “เป็นโมฆะ เสียเปล่า เสมือนว่าไม่เคยเกิดขึ้นและไม่มีผลใดๆ ในทางรัฐธรรมนูญและกฎหมาย”
การเขียนเช่นนี้ มีเจตนาเพื่อให้สามารถเอาผิดย้อนหลังกับการทำรัฐประหารที่เคยเกิดขึ้นแล้ว และเคยนิรโทษกรรมไปแล้วได้
ร่าง “รื้อระบอบประยุทธ์” มาตรา 258 กำหนดให้  ปวงชนชาวไทยมีสิทธิและหน้าที่ในการต่อต้านการรัฐประหาร ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐ มีสิทธิและหน้าที่ในการไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างประจักษ์ชัด และมีหน้าที่ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของคณะทหารหรือคณะบุคคลใดที่ก่อการรัฐประหารยึดอำนาจการปกครองประเทศ
นอกจากนี้ มาตรา 259 กำหนด ห้ามไม่ให้ศาลทั้งปวง วินิจฉัยหรือพิพากษารับรองความสำเร็จสมบูรณ์ของการรัฐประหาร หรือรับรองสถานะทางกฎหมายให้แก่คณะรัฐประหาร ประกาศ คำสั่ง และการกระทำของคณะรัฐประหาร
นวัตกรรมสำคัญที่ร่าง “รื้อระบอบประยุทธ์” เสนอไว้ คือ มาตรา 261 ที่เขียนว่า “บทบัญญัติในหมวดนี้มีสถานะเป็นกฎหมายจารีตประเพณีทางรัฐธรรมนูญและหลักการพื้นฐานของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ซึ่งมีผลใช้บังคับโดยตลอด แม้รัฐธรรมนูญนี้จะสิ้นผลไป”
“กฎหมายจารีตประเพณี” หมายถึง แนวคิดหรือหลักการที่ปฏิบัติต่อเนื่องกันมาเป็นเวลานาน จนทุกคนในสังคมเข้าใจตรงกันว่า เป็นกฎหมาย โดยที่ไม่จำเป็นต้องเขียนไว้เป็นลายลักษณ์อักษรก็ได้ 
การเขียนมาตรา 261 เช่นนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อยืนยันว่า การต่อต้านการรัฐประหาร การไม่ยอมรับคำสั่งของคณะรัฐประหาร และการดำเนินการเพื่อเอาผิดคณะรัฐประหารจะต้องเป็นหลักการพื้นฐานของสังคม หากมีการรัฐประหารเกิดขึ้นอีกในอนาคตและคณะรัฐประหารสั่ง “ยกเลิก” รัฐธรรมนูญในหมวดนี้ หลักการเหล่านี้ก็ยังคงมีสถานะเป็นกฎหมายสูงสุดใช้บังคับได้ต่อไป