คดีพักบ้านหลวง: พล.อ.ประยุทธ์อาจพ่าย แต่ระบอบ คสช. ยังไม่แพ้

วันที่ 2 ธันวาคม 2563 คือ วันชี้ชะตาของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและอดีตหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ว่าจะต้องพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหรือไม่ จากกรณีอาศัยอยู่ในบ้านพักทหารทั้งที่เกษียณอายุราชการและอาจจะเข้าข่ายเป็นการกระทำอันเป็นการขัดกันแห่งผลประโยชน์ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด โดยผลของคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญในครั้งนี้ จะเป็นบรรทัดฐานสำคัญต่อ “อภิสิทธิ์” ของบรรดาอดีตผู้นำเหล่าทัพในการเข้าพักบ้านหลวงหลังเกษียณแต่ยังดำรงตำแหน่งทางการเมือง

อีกทั้ง คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญจะมีผลต่อการดำรงตำแหน่งของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และบรรดาคณะรัฐมนตรีในรัฐบาล คสช. ที่อาจจะต้องพ้นไปจากตำแหน่งยกชุด และ พล.อ.ประยุทธ์อาจจะต้องเว้นวรรคทางการเมืองเป็นเวลา 2 ปี แต่อย่างไรก็ดี ด้วยกลไกสืบทอดอำนาจตามรัฐธรรมนูญ ปี 2560 การพ้นจากตำแหน่งในครั้งนี้ของ “รัฐบาลประยุทธ์” ก็อาจจะเป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงในเชิงตัวบุคคลแต่ยังอยู่ภายใต้ระบอบ คสช. หรือ ภายใต้รัฐธรรมนูญ ปี 2560 เหมือนเดิม

“บ้านหลวง” กับข้อหาผลประโยชน์ทับซ้อนของนักการเมือง

บ้านหลวง หรือ “อาคารที่พักอาศัยของทางราชการ” จัดเป็นสวัสดิการสำหรับข้าราชการทหาร โดยมีระเบียบที่เกี่ยวข้อง คือ “ระเบียบกองทัพบกว่าด้วยการเข้าพักอาศัยในอาคาร บ้านพักของข้าราชการและลูกจ้างประจำในกองทัพบก ปี 2553” ซึ่งกำหนดให้ ข้าราชการประจำการ หรือลูกจ้างประจำ สังกัดกองทัพบก ที่ไม่มีบ้านพักอาศัยเป็นกรรมสิทธิ์ของตนเองหรือของคู่สมรส และไม่ได้รับการสงเคราะห์จากทางราชการให้มีอาคารหรือบ้านพัก มีสิทธิเข้าพักอาศัยในอาคารที่พักอาศัยของราชการ แต่สิทธิดังกล่าวจะหมดไปเมื่อผู้นั้นเสียชีวิตหรือออกจากราชการ

ทั้งนี้ การจะอาศัยอยู่บ้านหลวงต่อแม้ว่าได้ออกจากราชการกองทัพไปแล้วสามารถกระทำได้ ภายใต้ “ระเบียบกองทัพบกว่าด้วยการเข้าพักอาศัยในบ้านพักรับรองกองทัพบก ปี 2548” ซึ่งกำหนดให้ อดีตผู้บังคับบัญชาชั้นสูงของกองทัพบกซึ่งทำคุณประโยชน์ให้กับกองทัพบกและประเทศชาติและเคยดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกมาแล้วมีสิทธิเข้าพักอาศัยในบ้านพักรับรองกองทัพบก ที่ผ่านมา มีอดีตผู้นำกองทัพหลายคนที่ยังคงพักในบ้านหลวง รวมไปถึงตัว พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี

ด้วยเหตุนี้จึงเป็นที่มาของคดีพักบ้านหลวง ที่มี ประเสริฐ จันทรรวงทอง ส.ส. พรรคเพื่อไทย เป็นผู้ยื่นคำร้องต่อประธานสภาผู้แทนราษฎรให้ยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยว่า การที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังคงพักอาศัยในบ้านพักทหารโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายทั้งที่ได้เกษียณและพ้นจากตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกมาตั้งแต่ปี 2557 เข้าข่ายเป็นการขัดกันแห่งผลประโยชน์ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 184 (3) ประกอบมาตรา 186 หรือไม่

โดยรัฐธรรมนูญ มาตรา 184 (3) ประกอบมาตรา 186 กำหนดว่า “สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา และรัฐมนตรี ต้องไม่รับเงินหรือประโยชน์ใดๆ จากหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจเป็นพิเศษนอกเหนือไปจากที่หน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจปฏิบัติต่อบุคคลอื่น ๆ ในธุรกิจการงานปกติ”

หลังการยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญ กองทัพได้เข้าชี้แจงต่อศาลรัฐธรรมนูญ โดยมีใจความสำคัญว่า การอยู่บ้านพักทหารของอดีตผู้บังคับบัญชาทหารบกที่เกษียณแล้ว เป็นเรื่องของระเบียบที่ได้รับการยกเว้น หรือ เป็นไปตาม “ระเบียบกองทัพบกว่าด้วยการเข้าพักอาศัยในบ้านพักรับรองกองทัพบก ปี 2548”

ด้านพรรคเพื่อไทย ในฐานะผู้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญก็ออกมายืนยันว่า พล.อ.ประยุทธ์ ต้องพ้นจากตำแหน่งอย่างแน่นอน เนื่องจาก พล.อ.ประยุทธ์ ดำรงตำแหน่งนายกฯ และ รมว.กลาโหม มีอำนาจบังคับบัญชากองทัพบก การเข้าพักอาศัยบ้านพักของกองทัพบก จึงเข้าข่ายประโยชน์ทับซ้อนของหน่วยงานภายใต้บังคับบัญชาของตนเอง

อีกทั้ง โดยหลักการทางกฎหมาย การให้บุคคลซึ่งมิใช่ข้าราชการเข้าใช้ทรัพย์สินของทางราชการได้นั้น ต้องมีกฎหมายให้อำนาจไว้ จึงจะออกระเบียบเพื่อปฏิบัติตามกฎหมายนั้นได้ หากไม่มีแล้วจะอ้างระเบียบภายในกองทัพบกมาอนุญาตไม่ได้ ไม่สามารถอ้างระเบียบใดๆ ที่ขัดหรือแย้งกับกฎหมายหรือรัฐธรรมนูญ

คำวินิจฉัยศาลอาจเปลี่ยน ครม. ยกชุด-ประยุทธ์เว้นวรรค 2 ปี

ตามรัฐธรรมนูญ ปี 2560 มาตรา 170 (5) กำหนดว่า ถ้ารัฐมนตรีกระทำการอันเป็นการต้องห้ามตามมาตรา 186 หรือ มาตรา 187 หรือ รัฐมนตรีกระทำการอันเป็นการกระทำต้องห้ามตามมาตรา 184 ที่ว่าด้วยการกระทำอันเป็นการขัดกันแห่งผลประโยชน์ ให้ความเป็นรัฐมนตรีของบุคคลนั้นสิ้นสุดลง

ดังนั้น ถ้าหากศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยว่า การที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังคงพักอาศัยในบ้านพักทหารโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายทั้งที่ได้เกษียณและพ้นจากตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกมาตั้งแต่ปี 2557 เข้าข่ายเป็นการขัดกันแห่งผลประโยชน์ สถานะความเป็นนายกรัฐมนตรีของ พล.อ.ประยุทธ์ ก็จะสิ้นสุดลง

อีกทั้ง ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 167 ยังกำหนดด้วยว่า รัฐมนตรีทั้งคณะต้องพ้นจากตำแหน่งเมื่อความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงตามมาตรา 170 ดังนั้น ถ้า พล.อ.ประยุทธ์ ต้องสิ้นสุดสถานะความเป็นนายกรัฐมนตรี บรรดารัฐมนตรีที่ประยุทธ์เป็นคนเสนอชื่อแต่งตั้งก็จะต้องพ้นจากตำแหน่งด้วยแต่ให้อยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่จะเข้ารับหน้าที่

นอกจากนี้ ตามรัฐธรรมนูญ ปี 2560 มาตรา 160 ยังกำหนดเรื่องคุณสมบัติของรัฐมนตรีไว้ด้วยว่า ต้องไม่เป็นผู้เคยพ้นจากตําแหน่งเพราะเหตุกระทําการอันเป็นการต้องห้ามตามมาตรา 186 หรือ มาตรา 187 มาแล้วยังไม่ถึง 2 ปี นับถึงวันแต่งตั้ง หรือหมายความว่า ถ้า พล.อ.ประยุทธ์ ถูกวินิจฉัยให้พ้นจากตำแหน่งจากคดีพักบ้านหลวงจะต้องเว้นวรรคทางการเมืองเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 2 ปี

พล.อ.ประยุทธ์อาจพ่าย แต่ระบอบ คสช. ยังไม่แพ้

แม้จะมีความเป็นไปได้ว่า ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยให้การ “พักบ้านหลวง” ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นการกระทำอันเป็นการขัดกันแห่งผลประโยชน์ และทำให้สถานะความเป็นรัฐมนตรีของ พล.อ.ประยุทธ์ สิ้นสุดลง แต่ทว่า ภายใต้รัฐธรรมนูญ ปี 2560 ก็ยังคงมีกลไกในการพยุงระบอบ คสช. ให้ยังดำรงต่อไปได้ กล่าวคือ คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญอาจจะเป็นการเปลี่ยนตัวบุคคลแต่ไม่ได้เปลี่ยนระบอบ คสช. แต่อย่างใด

โดยปัจจัยสำคัญที่ทำให้ระบอบ คสช. ยังคงดำรงต่อไปได้ ก็คือ การที่รัฐธรรมนูญ ปี 2560 มาตรา 269 กำหนดให้ ส.ว.ชุดแรก มาจากการคัดเลือกโดย คสช. จำนวน 250 คน และในมาตรา 272 กำหนดว่า การให้ความเห็นชอบผู้ดำรงตำแหน่งนายกฯ ต้องมาจากที่ประชุมร่วมของรัฐสภา หรือหมายความว่า ส.ว. 250 คน ของ คสช. ยังคงมีอำนาจร่วมเลือกนายกฯ และที่ผ่านมา ส.ว. ชุดนี้ก็เป็นตัวแปรสำคัญในการเลือกนายกฯ และทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ ยังรักษาตำแหน่งนายกฯ ไว้ได้หลังการเลือกตั้ง

นอกจากนี้ มาตรา 272 ในบทเฉพาะกาลก็มีทางเลือกพิเศษเอาไว้ ในกรณีที่ไม่สามารถเลือกนายกฯ จากบัญชีรายชื่อที่พรรคการเมืองเสนอได้ ให้ใช้การลงมติของ ส.ส. + ส.ว. ไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 ของรัฐสภา หรือเกือบ 500 เสียง ก็จะเปิดทางให้มีการเสนอชื่อ “นายกฯ คนนอก” หรือ การเสนอให้ใครก็ได้มาดำรงตำแหน่งนายกฯ ก็ได้ ซึ่งหากพิจารณาจากเสียงของพรรครัฐบาล และเสียงของ ส.ว.ชุดพิเศษนี้ ก็ไม่ได้ถือว่า เป็นทางเลือกที่ยากจนเกินไป