สรุปร่างรัฐธรรมนูญ: ศาลรัฐธรรมนูญกับบทบาท “คนดี” ของมีชัย

หนึ่งในประเด็นที่สังคมให้ความสนใจก็คือ “อำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ” เพราะนับตั้งแต่ร่างรัฐธรรมนูญของคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญอย่าง บวรศักดิ์ อุววรณโณ จนถึง มีชัย ฤชุพันธ์ ทั้งสองร่างก็ให้ศาลรัฐธรรมนูญเป็นกลไกหนึ่งที่มีอำนาจควบคุมการบริหารประเทศ อย่างเช่น อำนาจวินิจฉัยเพื่อหาทางออกในกรณีที่ประเทศเข้าสู่วิกฤติและไม่มีบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ เป็นต้น โดยเราได้ทำการรวมเรื่องน่าสนใจเกี่ยวกับศาลรัฐธรรมนูญไว้ ดังนี้
ที่มาของศาลรัฐธรรมนูญ เพิ่มผู้ทรงคุณวุฒิจากส่วนราชการ 2 คน
อ้างอิงตามมาตรา 195 ของร่างรัฐธรรมนูญฉบับล่าสุดของ มีชัย ฤชุพันธ์ ซึ่งกำหนดว่า
สัดส่วนของผู้ดำรงตำแหน่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมาจาก ผู้พิพากษาศาลฎีกา 3 คน ผู้พิพากษาศาลปกครองสูงสุด 2 คน ผู้ทรงคุณวุฒิด้านนิติศาสตร์ 1 คน ผู้ทรงคุณวุฒิด้านรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์อีก 1 คน และผู้ทรงคุณวุฒิที่มาจากส่วนราชการอีก 2 คน ซึ่งแต่เดิมในรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 กำหนดว่าให้สัดส่วนมาจาก ผู้พิพากษาศาลฎีกา 3 คน ผู้พิพากษาศาลปกครองสูงสุด 2 คน ผู้ทรงคุณวุฒิด้านนิติศาสตร์ 2 คน และรัฐศาสตร์สังคมศาสตร์อีก 2 คน ซึ่งจะเห็นได้ว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งล่าสุดนี้ได้ลดผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์ไป แต่แทนที่ด้วยผู้ทรงคุณวุฒิจากส่วนราชการแทน
เปิดประชุมฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ ตุลาการ และองค์กรอิสระแก้วิกฤติการเมือง
อ้างอิงตามมาตรา 5 ของร่างรัฐธรรมนูญฉบับล่าสุดของ มีชัย ฤชุพันธ์ ซึ่งกำหนดว่า
ถ้าไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญบังคับแก่กรณีใด ให้วินิจฉัยไปตามประเพณีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข โดยให้ศาลรัฐธรรมนูญจัดให้มีการประชุมร่วมระหว่าง ประธานสภาผู้แทนราษฎร / ผู้นำฝ่ายค้าน / ประธานวุฒิสภา / นายกรัฐมนตรี / ประธานศาลฎีกา-ศาลปกครองสูงสุด-ศาลรัฐธรรมนูญ-องค์กรอิสระ เพื่อวินิจฉัย และให้คำวินิจฉัยของที่ประชุมเป็นที่สุดและผูกพันรัฐสภา และคณะรัฐมนตรี ศาล องค์กรอิสระ และหน่วยงงานของรัฐ
ทั้งนี้ มาตราดังกล่าว เป็นหลักการที่แก้ไขเพิ่มเติมมาจากมาตรา 7 ของรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 และมาตรา 207 ของรัฐธรรมนูญฉบับมีชัย (ร่างแรก) ที่เขียนไว้ใกล้เคียงกันว่า ถ้าไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญที่จะยกมาปรับแก่กรณีใดได้ ก็ให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยกรณีนั้นตามประเพณีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
การปรับปรุงแก้ไขมาตราดังกล่าว ผู้ร่างได้ยกเหตุผลว่าเพื่อให้การบริหารประเทศมีทางออกในยามที่ต้องเจอกับวิฤติทางการเมือง และไม่มีบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญมาบังคับใช้ได้ แต่ทว่าก่อนหน้านี้ มาตรา 207 ในร่างรัฐธรรมนูญของมีชัย ที่เปิดเผยออกมาครั้งแรก ได้ให้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญจนถูกวิพากษ์วิจารณ์มาก ดังนั้น ในร่างรัฐธรรมนูญฉบับล่าสุด สำหรับการลงประชามตินี้ จึงลดอำนาจการตีความของศาลรัฐธรรมนูญเดิม และเพิ่มฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ ตุลาการและองค์กรอิสระ เข้ามาช่วยกันวินิจฉัยด้วย ประเด็นที่น่าสนใจสำหรับการแก้ไขล่าสุดก็คือ “สัดส่วนของที่ประชุมมีศาลและองค์กรอิสระเป็นส่วนมาก”
ไม่ว่าใครก็สามารถร้องศาลรัฐธรรมนูญโดยตรง เพื่อสั่งให้เลิกการกระทำที่ล้มล้างการปกครองฯ ได้
อ้างอิงตามมาตรา 49 ของร่างรัฐธรรมนูญฉบับล่าสุดของ มีชัย ฤชุพันธ์ ซึ่งกำหนดว่า
บุคคลจะใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขมิได้ ถ้าผู้ใดทราบว่ามีการกระทําดังกล่าวย่อมมีสิทธิร้องต่ออัยการสูงสุดเพื่อร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการให้เลิกการกระทําดังกล่าวได้ แต่ถ้าอัยการสูงสุดมีคําสั่งไม่รับดําเนินการตามที่ร้องขอหรือไม่ดําเนินการภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้รับคําร้องขอ ผู้ร้องขอจะยื่นคําร้องโดยตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญก็ได้
ทั้งนี้ มาตราดังกล่าวเมื่อนำไปเปรียบเทียบกับรัฐธรรมนูญปี 2540 และ 2550 จะพบว่า การยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญโดยตรงนั้นเป็นเรื่องใหม่ เพราะแต่เดิมการใช้สิทธิดังกล่าวต้องถูกกลั่นกรองโดยอัยการสูงสุดก่อน แต่ทั้งนี้ ถ้าเปรียบเทียบกับร่างรัฐธรรมนูญฉบับบวรศักดิ์ ที่สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ลงมติไม่เห็นชอบ ก็จะพบว่า ร่างรัฐธรรมนูญมีชัยตีกรอบอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญไว้แคบกว่า กล่าวคือให้สั่งเลิกการกระทำได้เท่านั้น แต่ร่างฉบับบวรศักดิ์ให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งเป็นอย่างอื่นได้ และถ้าพรรคการเมืองเป็นผู้กระทำการล้มล้างการปกครองฯ ก็ให้ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจยุบพรรคการเมืองได้อีกด้วย
ให้ศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระร่วมกันเขียน “มาตรฐานทางจริยธรรม” ภายในหนึ่งปีหลังรัฐธรรมนูญประกาศใช้
อ้างอิงตามมาตรา 219 ของร่างรัฐธรรมนูญฉบับล่าสุดของ มีชัย ฤชุพันธ์ ซึ่งกำหนดว่า
ให้ศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระร่วมกันกําหนดมาตรฐานทางจริยธรรมขึ้นใช้บังคับแก่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและผู้ดํารงตําแหน่งในองค์กรอิสระ รวมทั้งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน และหัวหน้าหน่วยงานธุรการของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ ทั้งนี้ มาตรฐานทางจริยธรรมดังกล่าวต้องครอบคลุมถึงการรักษาเกียรติภูมิและผลประโยชน์ของชาติ และต้องระบุให้ชัดแจ้งด้วยว่า การฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมใดมีลักษณะร้ายแรง
โดยในการจัดทํามาตรฐานทางจริยธรรม ให้รับฟังความคิดเห็นของ สภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา และคณะรัฐมนตรี ประกอบด้วย และเมื่อประกาศใช้บังคับแล้ว ให้ใช้บังคับแก่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา และคณะรัฐมนตรีด้วย แต่ไม่ห้ามสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา หรือคณะรัฐมนตรีที่จะกําหนดจริยธรรมเพิ่มขึ้นให้เหมาะสมกับการปฏิบัติหน้าที่ของตน แต่ต้องไม่ขัดหรือแย้งกับมาตรฐานทางจริยธรรมที่เขียนไว้ก่อนหน้านี้
นอกจากนี้ ในส่วนของบทเฉพาะกาล ในมาตรา 276 ยังกำหนดอีกว่าการกำหนดมาตรฐานจริยธรรมต้องเสร็จสิ้นภายในหนึ่งปีหลังรัฐธรรมนูญประกาศใช้ มิเช่นนั้น ให้ผู้ดำรงตำแหน่งศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระพ้นจากตำแหน่งไป
อำนาจวินิจฉัยให้ ครม. ที่ไม่ซื่อสัตย์สุจริตพ้นไปจากตำแหน่งได้
อ้างอิงตามมาตรา 170 วรรค 3 ของร่างรัฐธรรมนูญฉบับล่าสุดของ มีชัย ฤชุพันธ์ ซึ่งกำหนดว่า
ส.ส. หรือ ส.ว. จำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในสิบของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของแต่ละสภา สามารถเข้าชื่อร้องต่อประธานสภาที่ตนเป็นสมาชิกและให้ส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ได้ว่า รัฐมนตรีคนใดขาดคุณสมบัติตามมาตรา 160 คือ ไม่มีความ “ซื่อสัตย์สุจริต”
นอกจากนี้ในมาตรา 170 วรรค 3 ยังกำหนดให้คณะกรรมการเลือกตั้งมีอำนาจในการยื่นเรื่องดังกล่าวต่อศาลรัฐธรรมนูญได้อีกด้วย
อำนาจถอดถอนนักการเมืองที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการใช้งบประมาณแผ่นดิน
อ้างอิงตามมาตรา 144 ของร่างรัฐธรรมนูญฉบับล่าสุดของ มีชัย ฤชุพันธ์ ซึ่งกำหนดว่า
ส.ส. และ ส.ว. จะเสนอแปรญัตติ หรือการกระทำด้วยประการใดๆ ที่มีผลให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา หรือกรรมาธิการมีส่วนไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในการใช้งบประมาณรายจ่ายไม่ได้ นอกจากนี้ ถ้า ครม. มีส่วนเกี่ยวข้อง เช่น การอนุมัติให้กระทําการหรือรู้ว่ามีการกระทําดังกล่าวแล้วแต่มิได้สั่งยับยั้ง ก็จะมีความผิดไปด้วย
โดย ถ้ามีผู้กระทำการดังกล่าวให้เป็นอำนาจของ ส.ส. หรือ ส.ว. จำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในสิบของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของแต่ละสภา เสนอความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณา และให้ศาลรัฐธรรมนูญต้องพิจารณาวินิจฉัยให้แล้วเสร็จภายใน 15 วัน ซึ่ง ส.ส. ส.ว. หรือ ครม. ที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าผิดต้องพ้นจากตำแหน่ง และให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของผู้นั้นด้วย
อย่างไรก็ดี ในประเด็นนี้มีข้อสังเกตว่า มาตราดังกล่าวมีบทลงโทษที่รุนแรง แต่กลับมีความคลุมเครือ เช่น การใช้วลี “ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม” หรืออย่างการลงโทษ ครม. ที่อนุมัติให้กระทําการหรือรู้ว่ามีการกระทําดังกล่าวแล้วแต่มิได้สั่งยับยั้ง
ซึ่งการกำหนดแบบนี้จะก่อให้เกิดการตีความและอาจจะไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง เพราะในการพิจารณางบประมาณในชั้นคณะกรรมาธิการย่อมมีรัฐมนตรี และตัวแทนของกระทรวง เป็นกรรมาธิการด้วย นั้นเท่ากับว่า ถ้าบุคคลดังกล่าวไม่ได้ทราบการกระทำความผิดของผู้อื่นก็พลอยมีโอกาสโดนลูกหลงไปด้วย และต้องไม่ลืมว่า บทโทษตามมาตรานี้กำหนดให้ศาลรัฐธรรมนูญอาจวินิจฉัยให้คณะรัฐมนตรีพ้นไปทั้งคณะได้อีก