รอบอาทิตย์สุดท้าย เม.ย.56 : กองเซ็นเซอร์กลับใจ ไม่แบน “ฟ้าต่ำแผ่นดินสูง” หลังยอมเซ็นเซอร์

มติใหม่ ‘ฟ้าต่ำแผ่นดินสูง’ ได้เรท 18+ ให้ดูดเสียงออก 2 วิ
กรณีมีข่าวว่า คณะอนุกรรมการพิจารณาภาพยนตร์และวิดีทัศน์ มีมติไม่อนุญาตให้เผยแพร่ภาพยนตร์ ‘ฟ้าต่ำแผ่นดินสูง’ ในไทย เพราะเนื้อหาขัดความมั่นคง และสัมพันธไมตรีระหว่างประเทศ และการนำเสนอข้อมูลบางอย่างยังอยู่ในการพิจารณาของศาล โดยผู้กำกับระบุว่าจะยื่นอุทธรณ์ต่อไป

(25 เม.ย.56) นนทวัฒน์ นำเบญจพล ผู้กำกับภาพยนตร์ “ฟ้าต่ำแผ่นดินสูง” แจ้งข่าวผ่านเพจ Boundary : ฟ้าต่ำแผ่นดินสูง ว่า ล่าสุด สำนักงานพิจารณาภาพยนตร์และวีดีทัศน์แห่งชาติ กรมส่งเสริมวัฒนธรรม ติดต่อมาว่า มติไม่อนุญาตให้เผยแพร่ในราชอาณาจักรไทยนั้น เป็นเพียงแค่มติของอนุกรรมการ ไม่ใช่มติของคณะกรรมการชุดใหญ่ ทั้งนี้ หลังชมภาพยนตร์ กรรมการชุดใหญ่มีมติให้เผยแพร่ได้สำหรับผู้มีอายุ 18 ปี ขึ้นไป โดยมีคำร้องขอให้ดูดเสียงในช่วงต้นความยาว 2 วินาที ในช่วงงานเฉลิมฉลองปีใหม่ที่แยกราชประสงค์ โดยพิธีกรบนเวทีได้พูดว่า “เรามาร่วมเคาท์ดาวน์และร่วมฉลองให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระชนมายุครบ 84 พรรษา” ออก โดยทางทีมผู้สร้างภาพยนตร์เห็นว่า เสียงในช่วงนั้นเป็นเสียงบรรยากาศที่ไม่ใช่ประเด็นสาระสำคัญของเนื้อหาภายใน ภาพยนตร์ จึงยินดีที่จะดูดเสียงในช่วงนั้นออก
ที่มา: ประชาไท

มติ กสทช.เห็นชอบช่อง 3 ยุติ ‘เหนือเมฆ’ สั่งชี้แจงเหตุสังคม
กสทช. มีมติเห็นชอบผลการพิจารณาของอนุกรรมการฯ ช่อง 3 ยุติออกอากาศละครเรื่อง ‘เหนือเมฆ’ เป็นไปตามการดำเนินการของสถานี โดยคำนึงถึงสิทธิขั้นพื้นฐานของผู้บริโภคเป็นสำคัญ  สั่งชี้แจงเหตุผลให้สังคมรับทราบและให้แจ้งให้บอร์ดรับทราบใน 15 วัน

22 เม.ย.56 ไทยพีบีเอส รายงาน ที่ประชุมคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์  พิจารณากรณีที่ สถานีโทรทัศน์ช่อง 3 ยุติออกอากาศ ละครเรื่อง”เหนือเมฆ 2” โดยบอร์ดมีมติที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ให้สถานีโทรทัศน์ทุกช่อง แต่งตั้งผู้อำนวยการสถานี เพื่อพิจารณากำหนดหลักการเนื้อหารายการที่ออกอากาศ เพื่อไม่ให้ขัดต่อตามาตรา 29, 37 พระราชบัญญัติประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ ปี 2551 โดยให้เจ้าของสถานี หรือ ผู้ได้รับใบอนุญาต แต่งตั้งผู้อำนวยการประจำสถานี เพื่อดูแลการออกอากาศ และจัดรายการ ให้ถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งผู้รับใบอนุญาต จะต้องรับผิดหากมีการออกอากาศขัดตามมาตรเกี่ยวข้อง ยกเว้นพิสูจน์ได้ว่าไม่รู้เห็น และได้ดำเนินการตามสมควรไปแล้ว

เห็นชอบผลการพิจารณาของอนุกรรมการพิจารณาเนื้อหารายการ กรณียุติออกอากาศเหนือเมฆ 2 เนื่องจากาการพิจารนายุติออกอากาศ เป็นไปตามการดำเนินการของสถานี โดยคำนึงถึงสิทธิขั้นพื้นฐานของผู้บริโภคเป็นสำคัญ ดังนั้นการสั่งระงับ ช่อง 3 ต้องชี้แจงข้อเท็จจริง และผลการดำเนินการต่อสังคมอย่างสมเหตุผล โดยต้องคำนึงถึงหลักความโปร่งใสในการเสนอข่าวสาร โดยให้ กสทช.แจ้งให้ช่อง 3 ทราบผล และดำเนินการ พร้อมรายงานให้กรรมการ กสท. ทราบ ภายใน 15 วัน

“ทาง ช่อง 3 หากเห็นว่าชี้แจงสังคมเหมาะสมแล้ว ก็ต้องแจ้งมายังกสทช.ว่า ได้ชี้แจงสังคมอย่างไรไปบ้างแล้ว ซี่งมติบอร์ดเรื่องนี้ เกี่ยวข้องกับอำนาจและหน้าที่ของผู้อำนวยการสถานี ในการจะบอกว่าเนื้อหาไหนเหมาะสมหรือไม่เหมาะสมอย่างไร หากพบไม่เหมาะสม ซึ่งมติที่เกิดขึ้น จะทำให้จากนี้ สถานีโทรทัศน์ทุกช่องต้องใช้ดุลพินิจในการตัดสินใจเพื่อไม่ให้มีเนื้อหาขัดต่อกฎหมาย และกสทช.เอง ก็ไม่จำเป็นต้องตรวจสอบการใช้ดุลพินิจของแต่ละช่อง หากตัดสินใจยุติออกอากาศ”
อ่านเพิ่มเติม : ประชาไท

ศาลรธน. ส่งฝ่ายกฎหมาย แจ้งกองปราบจับแกนนำแดงชุมนุมหน้าศาล กล่าวพาดพิงทำเสื่อมเสีย
นาย ภัทรพงษ์พันธ์ ศรีสะอาด เจ้าหน้าที่ศาลรัฐธรรมนูญ 4 รับมอบอำนาจจาก นายปัญญา อุดชาชน รองเลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ รักษาราชการแทนเลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ เข้าพบ พ.ต.อ.ปิยะ เจริญสุข ผู้กำกับการ 1 กองปราบปราม เพื่อแจ้งความกล่าวโทษ ให้ดำเนินคดีกับ นายพงษ์พิสิษฐ์ พงษ์เสนา หรือ “เล็ก บ้านดอน” , นายธนชัย สีหิน หรือ “ดีเจ.หนุ่มวีคลอง 11” ผู้ดำเนินรายการวิทยุชุมชนเอฟเอ็ม 107.4 เมกกะเฮิร์ต , นายมงคล หนองบัวลำภู และนายศรรัก มาลัยทอง ในความผิดฐานร่วมกันดูหมิ่นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 136 และมาตรา 198 โดยทำหนังสือร้องทุกข์กล่าวโทษ พร้อมกับแผ่นซีดีบันทึกภาพ และเสียงคำปราศรัยในการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง ที่บริเวณหน้าศาลรัฐธรรมนูญ มอบให้พนักงานสอบสวน ไว้เป็นหลักฐานประกอบการพิจารณาดำเนินคดี

ทั้งนี้ สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 22 เมษายนที่ผ่านมา ต่อเนื่องถึงปัจจุบัน ได้มีกลุ่มบุคคลประมาณ 200 คน ได้จัดชุมนุมกันที่บริเวณหน้าที่ทำการศาลรัฐธรรมนูญ (ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ) อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ เลขที่ 120 หมู่ 3 ถนนแจ้งวัฒนะ แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กทม.โดยใช้เครื่องขยายเสียง กล่าวพาดพิงการปฏิบัติหน้าที่ขององค์คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งอาจส่งผลให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น เกลียดชัง อีกทั้งยังมีพฤติการณ์ยั่วยุ ปลุกระดมมวลชนให้เกิดการกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน และเข้าข่ายหมิ่นประมาทศาลรัฐธรรมนูญ อันเป็นการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา หลายบท ทางเลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ จึงส่งผู้แทนเข้าแจ้งความดำเนินคดีดังกล่าว

ด้าน พ.ต.อ.ปิยะ กล่าวว่า ได้มอบหมายให้พนักงานสอบสวนสอบปากคำผู้ร้องไว้แล้ว ก่อนจะนำเรื่องเสนอผู้บังคับบัญชาพิจารณาสั่งการต่อไป
ที่มา : โพสต์ทูเดย์

‘พิทักษ์สยาม’ต้าน กม.ปรองดอง-นิรโทษฯ ให้กำลังใจศาล รธน.ทำหน้าที่ต่อ
กลุ่มผู้ชุมนุมใช้ชื่อว่า แนวร่วมมวลชน (พิทักษ์สยาม) พร้มรถขยายเสียง มาชุมนุมที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เพื่อแสดงความไม่เห็นด้วยกับการออกกฎหมายนิรโทษกรรม กฎหมายปรองดอง การแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตรา ทั้ง 3 ฉบับ พร้อมให้กำลังใจศาลรัฐธรรมนูญในการทำหน้าที่ต่อไป โดยนำป้ายผ้ามาผูกไว้ตามแนวรั้วรอบอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ มีข้อความไม่เห็นด้วยกับการออกกฎหมายปรองดอง และกฎหมายนิรโทษกรรม พร้อมกล่าวปราศรัยเรียกร้องประชาชนให้ออกมาแสดงพลังต่อเรื่องดังกล่าว

ทั้งนี้ นางวสุนีย์ อินมาเมือง แกนนำกลุ่มผู้ชุมนุม กล่าวว่า การชุมนุมครั้งนี้เพื่อแสดงความไม่เห็นด้วยและให้ความรู้กับประชาชนกับ เรื่องดังกล่าว โดยเฉพาะการคัดค้านการออกกฎหมายนิรโทษกรรม เพราะต้องการให้ดำเนินการหาผู้กระทำผิดกรณีการเสียชีวิตของประชาชน และเจ้าหน้าที่ ในเหตุการณ์การชุมนุม ปี 2553 ตามกระบวนการทางกฎหมายก่อน พร้อมให้กำลังใจศาลรัฐธรรมนูญ ในการทำหน้าที่เป็นที่พึ่งของประชาชน ในการตรวจสอบฝ่ายรัฐ
ที่มา : เอเอสทีวีผู้จัดการ

ทนาย “ก่อแก้ว” ยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาลไม่ให้ประกันตัว
เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2556 ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก นายเจษฎา จันทร์ดี ทนายความนายก่อแก้ว พิกุลทอง ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย และเป็นจำเลยที่ 5 คดี นปช.ก่อการร้าย ยื่นคำร้องอุทธรณ์เพื่อขอให้ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งอนุญาตให้ประกัน ตัวนายก่อแก้ว พิกุลทอง หลังจากเมื่อวันที่ 22 เม.ย.ที่ผ่านมา ศาลอาญาได้มีคำสั่งยกคำร้องไม่อนุญาตให้ประกันตัวนายก่อแก้วประกันตัว เนื่องจากเห็นว่ายังไม่สำนึกผิดและมีพฤตการณ์ข่มขู่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ

ทั้งนี้ นายก่อแก้วได้อ้างเหตุผลในคำร้องว่า ไม่เห็นด้วยกับคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ยกคำร้องขอปล่อยชั่วคราวจำเลยที่ 5 เพราะยังมีข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายหลายประการคลาดเคลื่อนหลายประการ เช่น แม้ศาลชั้นต้นจะมองว่าการปราศรัยเกี่ยวกับกรณีศาลรัฐธรรมนูญรับวินิจฉัยคำ ร้อง มาตรา 68 เป็นการผิดเงื่อนไขของศาล แต่ข้อเท็จจริงก็ไม่ปรากฏว่าบ้านเมืองจะเกิดความวุ่นวาย หรือประชาชนไปละเมิดกฎหมายอันเนื่องจากการปราศรัยแต่อย่างใด และถือเป็นการปราศรัยในฐานะ ส.ส.มีสิทธิ์วิพากษ์วิจารณ์ตามสิทธิและเสรีภาพในรัฐธรรมนูญ และการปราศรัยของจำเลยที่ 5 ก็เป็นไปในเชิงวิชาการ จึงยืนยันว่าไม่ได้กระทำความผิดตามเงื่อนไขของศาลอาญา และการที่ศาลจะมีคำสั่งไม่ให้ปล่อยชั่วคราวนั้น ตามกฎหมาย ป.วิอาญาได้กำหนดหลักเกณฑ์ที่ศาลต้องวินิจฉัย คือ 1. มีพฤตการณ์หลบหนี 2. ยุ่งเหยิงพยานหลักฐาน 3. ก่อเหตุอันตรายประการอื่น 4. ผู้ร้องขอประกันไม่น่าเชื่อถือ 5. หากปล่อยตัวจะกระทบต่อการสอบสวน ทั้งนี้เมื่อพิจารณาข้อเท็จจริง ปรากฏว่านายก่อแก้ว จำเลยที่ 5 ไม่มีพฤติการณ์ตามข้อต้องห้าม คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตการปล่อยชั่วคราวจึงมิชอบด้วยกฎหมาย ตาม ป.วิอาญาดังกล่าว นอกจากนี้ยังปรากฏคำพิพากษาของศาลแพ่งในคดีที่กองทุนธุรกิจกับพวกยื่นฟ้อง บริษัทเทเวศประกันภัย จากกรณีเหตุไฟไหม้ห้างเซ็นทรัลเวิลด์ ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นการก่อการร้าย เกิดจากเหตุจลาจล จึงขอศาลอุทธรณ์วินิจฉัยให้ความเป็นธรรมด้วย เบื้องต้นศาลได้รับคำร้องไว้เพื่อส่งให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาต่อไป
ที่มา : เอเอสทีวีผู้จัดการ

‘สุภิญญา’ เตรียมเสนอบอร์ด กสท. ทบทวนเกณฑ์ให้ใบอนุญาตทีวีดิจิตอลสาธารณะ
สุภิญญา กลางณรงค์ คณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ (กสท.) กล่าวว่า เมื่อวันที่ 25 เม.ย.ที่ผ่านมา ส่วนงานได้นำข้อสรุปที่ได้จากการจัดสัมมนาวิชาการร่วมกับจุฬาฯ เรื่อง “ทีวีดิจิตอล…จุดเปลี่ยนประเทศไทย” ตอน ทีวีดิจิตอลสาธารณะ เมื่อวันพุธที่ 24 เม.ย. ซึ่งมีข้อเสนอดังนี้

1. กสท. เร่งจัดทำประกาศ หลักเกณฑ์พิจารณาการคัดเลือกผู้ขอรับใบอนุญาตทีวีดิจิตอลประเภทกิจการบริการ สาธารณะ ทั้งนี้ เพื่อให้ผู้ยื่นขอใบอนุญาตเข้าสู่การพิจารณาภายใต้เกณฑ์เดียวกัน โดยอย่างน้อยเกณฑ์ที่ กสท. ต้องคำนึงถึง ได้แก่ โครงสร้างกรรมการนโยบายหรือกรรมการบริหารที่ปลอดจากรัฐและทุน ความหลากหลายของความคิดเห็นในผังรายการ ความเป็นอิสระของกองบรรณาธิการ ความโปร่งใสด้านการเงิน ตลอดจนแนวทางการประเมินผลการดำเนินกิจการ เป็นต้น ทั้งนี้ การจัดทำประกาศดังกล่าวเป็นไปเพื่อให้เกิดความโปร่งใส ตรวจสอบได้ พร้อมทั้งเปิดให้ทุกฝ่ายเข้ามามีส่วนร่วม โดย กสท.ต้องดำเนินการอย่างระมัดระวัง รอบคอบ และรัดกุม เนื่องจากการจัดสรรคลื่นซึ่งเป็นสมบัติของประเทศชาติ จึงไม่ควรให้การพิจารณาคัดเลือกเป็นเพียงการใช้ดุลพินิจของ กสท. ในการอนุญาตให้ประกอบกิจการ เนื่องจากมีความเสี่ยงที่จะถูกฟ้องร้องตามกระบวนการศาลปกครองจากผู้ที่เสีย ผลประโยชน์ หรือไม่ได้รับใบอนุญาตจาก กสท.

2.นโยบายการจัดสรรและ กำหนดจำนวนช่องรายการสำหรับทีวีดิจิตอลสาธารณะ กสทช.ต้องคำนึงถึงหลักการทีวีบริการสาธารณะตามมาตรฐานสากลในมุมมองด้าน นิเทศศาสตร์ (Public Service Broadcasting) กล่าวคือ การคำนึงถึงผู้ชมในฐานะที่เป็นพลเมือง ดังนั้น การนำเสนอเนื้อหาสาระต้องเป็นการเปิดพื้นที่สาธารณะให้แก่พลเมืองให้มีความ เห็นที่หลากหลาย ด้านการบริหารงานต้องมีความเป็นอิสระ มุ่งสร้างสังคมมากกว่าการหารายได้ และมีการทำงานที่โปร่งใสตรวจสอบได้

อย่างไรก็ตาม ในแง่ของกฎหมายมหาชนเรื่อง “บริการสาธารณะ” หมายถึง กิจการที่อยู่ในการอำนวยการของฝ่ายปกครอง โดยรัฐอาจเป็นผู้ดำเนินการเองหรือมอบให้ผู้อื่นไปดำเนินการ ทั้งนี้มีหลักการสำคัญคือการยึดโยงกับรัฐ และต้องตอบสนองความต้องการของประชาชน ดังนั้นเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการจัดสรรทรัพยากรคลื่นความถี่ กสทช. ไม่มีความจำเป็นต้องเร่งรีบให้ใบอนุญาตครบทั้ง 12 ช่องรายการ ตามมติของ กสท. แต่ควรมีการศึกษาวิจัยเพื่อวิเคราะห์ความต้องการของประชาชน และวิเคราะห์ผลกระทบจากการกำกับดูแลในมาตรการสำคัญ โดยพิจารณาทางเลือกต่างๆ อย่างเหมาะสมรอบด้าน และเปิดให้ภาคส่วนต่างๆ ของสังคมมีส่วนร่วม ก่อนที่จะพิจารณาให้ใบอนุญาตในการประกอบกิจการทีวีดิจิตอลสาธารณะ

3. คำนึงถึงมุมมองทางด้านเศรษฐศาสตร์ในทีวีดิจิตอลสาธารณะ ได้แก่ ต้นทุนโครงข่ายที่เหมาะสม ศักยภาพผู้ขอรับใบอนุญาตในการผลิตรายการ ตลอดจนการจัดทำตัวชี้วัดเพื่อประเมินวัตถุประสงค์โดยรวมของการให้ใบอนุญาต เพื่อไม่ให้ทรัพยากรคลื่นความถี่ถูกนำไปใช้อย่างไม่คุ้มค่า

สุภิญญา กล่าวว่า ข้อมูลจากการสัมมนาดังกล่าวเป็นมุมมองทางวิชาการด้านนิเทศศาสตร์ นิติศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ และวิศวกรรมศาสตร์ ที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการพิจารณาให้ใบอนุญาตทีวีดิจิตอล สำหรับประเภทกิจการบริการสาธารณะของ กสท. และเป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมายในการรับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้ส่วน เสียอย่างครบถ้วน โปร่งใส จึงจะเสนอวาระนี้ในที่ประชุม กสท. เพื่อพิจารณาอีกครั้งวันจันทร์นี้
ที่มา : ประชาไท

ครม.ไฟเขียวแก้กฎหมาย กบข.ให้สิทธิ ขรก.ย้ายไปใช้บำนาญแบบเก่าใช้งบเพิ่มอื้อ
นาย กิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวานนี้ มีมติเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (ฉบับที่ …) พ.ศ. … โดยข้าราชการที่เป็นสมาชิกกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) ที่เข้ารับราชการก่อนวันที่ 27 มี.ค. 2540 และสมัครเป็นสมาชิก กบข. เลือกกลับไปใช้สิทธิบำเหน็จบำนาญตาม พ.ร.บ.บำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. 2494 ได้ มีผลบังคับใช้ในปีงบ 2558 เป็นต้นไป โดยจะได้รับเงินสมทบคืนทั้งหมด

ทั้ง นี้ หากร่างกฎหมายมีผลบังคับใช้ สมาชิก กบข.มีสิทธิเลือกกลับไปใช้สิทธิบำเหน็จบำนาญก่อนเดือน มี.ค. 2540 ได้ โดยรัฐบาลได้ให้เวลาข้าราชการที่เป็นสมาชิก กบข.มีเวลาไตร่ตรองว่าจะลาออกจากการเป็นสมาชิก กบข.หรือไม่ ตั้งแต่เดือน มี.ค.-เม.ย. 2557 ไปจนถึงวันที่ 30 ก.ย. 2557

“หากมีสมาชิก กบข.ลาออกจำนวนมาก จะไม่กระทบกองทุน กบข. เพราะรัฐบาลยังคงทุนประเดิมในส่วนของรัฐไว้ในกองทุน ซึ่งเป็นเงินแสนล้านบาท และกฎหมายฉบับนี้ไม่เพียงแต่บังคับใช้กับข้าราชการที่ยังไม่เกษียณ แต่ให้รวมถึงผู้ที่กำลังจะเกษียณและผู้ที่เกษียณอายุราชการไปแล้วด้วย แต่ต้องคืนเงินก้อนที่ได้รับจากกองทุน” นายกิตติรัตน์ กล่าว

น.ส.สุทธิรัตน์ รัตนโชติ ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบการเงิน การคลัง กรมบัญชีกลาง กล่าวว่า คาดว่าสมาชิก กบข.ที่เกษียณไปแล้วและยังไม่เกษียณจะเลือกกลับไปใช้ระบบบำนาญแบบเดิม 7.33 แสนคน

นพ.ทศพร เสรีรักษ์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ระบุว่า ระหว่างปี 2558-2601 ภาครัฐจะมีภาระงบประมาณเพื่อจ่ายบำเหน็จบำนาญ 21.38 ล้านล้านบาท แต่หากสมาชิก กบข.กลับไปใช้ระบบบำนาญสูตรเดิม ภาครัฐจะมีภาระ 22.46 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 2.45 หมื่นล้านบาทต่อปี แต่เมื่อลบกับงบที่ภาครัฐไม่ต้องสมทบ ภาครัฐจะมีภาระเพิ่ม 2.15 หมื่นล้านบาทต่อปี

กระทรวงการคลังวิเคราะห์ว่า ไม่ว่าข้าราชการจะเป็นสมาชิกกบข.หรือเลือกกลับไปใช้ระบบบำนาญแบบเก่า ภาครัฐจะมีภาระงบประมาณเพิ่มขึ้นจำนวนมาก กระทรวงการคลังจึงเสนอให้จัดสรรงบประมาณเข้าบัญชีเงินสำรองให้สูงกว่าอัตรา ขั้นต่ำที่กำหนดไว้ในพ.ร.บ.กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ ปี 2539 เพื่อรองรับภาระดังกล่าวระยะยาว
ที่มา : โพสต์ทูเดย์

“ฝรั่งเศส” ไฟเขียว “กฎหมายสมรสเพศเดียวกัน” เป็นประเทศที่ 14 ของโลก
ฝรั่งเศสกลายเป็นประเทศที่ 14 ในโลก ที่ผ่านร่างกฎหมายสมรสเพศเดียวกัน ร่าง กฎหมายดังกล่าวให้คนรักเพศเดียวกันมีสิทธิรับบุตรบุญธรรม ผ่านความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎร ไปด้วยคะแนน 331 ต่อ 225 เสียง การตัดสินใจครั้งนี้มีขึ้น หลังเกิดการถกเถียงครั้งใหญ่ในสังคมฝรั่งเศส ที่ก่อให้เกิดการชุมนุมครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งเท่าที่เคยมีมาในฝรั่งเศส ในรอบหลายปี

กลุ่มผู้ต่อต้านกฎหมายดังกล่าวได้ออกมาชุมนุมบริเวณด้าน หน้าอาคารรัฐสภาในกรุงปารีส หลังจากรัฐสภาได้ลงมติ ท่ามกลางเจ้าหน้าที่ตำรวจนับพันนาย พร้อมเครื่องยิงกระสุนน้ำ เพื่อเตรียมรับมือเหตุวุ่ยวาย โดยผู้นำกลุ่มต่อต้านกำหมายประกาศที่จะสู้ให้ถึงที่สุด และจะเรียกร้องไปยังประธานาธิบดีเพื่อจัดการทำประชามติในประเด็นดังกล่าว

นางคริสเตียน ทูบิรา รัฐมนตรียุติธรรมฝรั่งเศสกล่าวว่า การอนุมัติร่างกฎหมายดังกล่าวถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของประวัติศาสตร์ เพราะแสดงให้เห็นว่า ฝรั่งเศสยืนหยัดต่อต้านการเลือกปฏิบัติ และให้ความเคารพต่อการแต่งงาน ซึ่งนี้คือชัยชนะของความเสมอภาคและเท่าเทียมกัน เพื่อประชาธิปไตย เธอยังกล่าวต่อรัฐสภาว่า การสมรสระหว่างเพศเดียวกันของฝรั่งเศสจะมีขึ้นครั้งแรกในเดือนมิถุนายนนี้ เธอเชื่อว่าจะเป็นการแต่งงานที่งดงามและนำความสุขมาให้แก่ทุกคน

ขณะที่หลายคนกล่าวว่า นี่ถือเป็นการปฏิรูปสังคมครั้งสำคัญที่สุดเท่าที่เคยมีมาในฝรั่งเศส นับตั้งแต่การยกเลิกโทษประหารชีวิตในปี 1981 ทำให้ฝรั่งเศสกลายเป็นประเทศที่ 14 ของโลก ต่อจากนิวซีแลนด์ ที่ยอมรับกฎหมายในลักษณะนี้ และเป็นประเทศที่ 9 ในยุโรป ที่อนุมัติกฎหมายในลักษณะนี้ ต่อจากเนเธอร์แลนด์ และประเทศในกลุ่มสแกนดิเนเวีย รวมถึงโปรตุเกสและสเปน ซึ่งเป็นประเทศแคทอลิกที่เคร่งครัด
ที่มา : มติชน

“เมียนมาร์” เตรียมแก้กฎหมายเปิดทาง ซูจี ลงเลือกตั้งปธน.
เจ้าหน้าที่ระดับสูงเมียนมาร์ เปิดเผยว่า รัฐบาลเตรียมแก้กฎหมายรัฐธรรมนูญเพื่อเปิดทางให้นางออง ซาน ซู จี ผู้นำพรรคฝ่ายค้านในสภาลงรับเลือกตั้งประธานาธิบดีได้

นายอ่อง มิน รัฐมนตรีประจำทำเนียบประธานาธิบดีเมียนมาร์ กล่าวในแถลงการณ์ ระหว่างเดินทางเยือนสหรัฐฯ เพื่อรับรางวัลสันติภาพ ในนามของพลเอกเต็ง เส่ง ประธานาธิบดีเมียนมาร์ ที่ไม่สามารถเดินทางเข้าร่วมได้ โดยระบุว่า รัฐบาลเมียนมาร์เตรียมแก้ไขรัฐธรรมนูญ ปี 2551 ที่มีการวิพากวิจารณ์อย่างมาก ซึ่งการแก้ครั้งนี้ ก็เพื่อให้นางซูจี สามารถลงสมัครเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี 2558 ได้

อย่างไรก็ตาม คำกล่าวของนายอ่อง มิน ยังไม่ได้รับการสนุบสนันจากพลเอกเต็ง เส่ง แต่อย่างใด รวมถึงรองประธานพรรคพรรคสหภาพเอกภาพและการพัฒนา หรือ USDP ก็กล่าวกับสำนักข่าวอิรวดีว่า พรรคยังไม่มีแผนแก้รัฐธรรมนูญแต่อย่างใด แม้พวกเราปรารถนาจะทำอย่างนั้นก็ตาม แต่หลายฝ่ายคาดว่า คณะกรรมาธิการเตรียมเริ่มหารือและทบทวนกฎหมายรัฐธรรมนูญดังกล่าวในเดือน กรกฎาคมนี้

ปัจจุบัน นางซูจียังไม่สามารถลงรับเลือกตั้งได้ เนื่องจากกฎหมายรัฐธรรมนูญปี 2551 กำหนดว่า ชาวเมียนมาร์คนใดที่มีสมาชิกครอบครัวสัญชาติอื่นที่ไม่ใช่เมียนมาร์ ไม่มีสิทธิลงรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี หรือรองประธานาธิบดี สำหรับนางซูจีนั้น แต่งงานกับนายไมเคิล อริส นักวิชาการชาวอังกฤษเมื่อปี 2514 และมีบุตรด้วยกัน 2 คน คือ นายอเล็กซานเดอร์ อริส อายุ 41 ปีและนายคิม อริส อายุ 36 ปี โดยทั้งคู่ถือสัญชาติอังกฤษ

ที่มา : มติชนออนไลน์